สรุปภาวะตลาด
ธนาคารภูมิภาคสหรัฐฯ สะเทือนจากปัญหาสินเชื่อ... มุมมองต่อความผันผวนหุ้นสหรัฐฯ และกลยุทธ์ลงทุน
- ราคาหุ้น Zions Bancorporation ธนาคารภูมิภาค (Regional Bank) รายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ร่วงกว่า 11% เมื่อวันพฤหัสบดี หลังเปิดเผยการตัดหนี้สูญ (Charge-off) มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเงินกู้ที่ผิดนัดชำระ ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินเชื่อของธนาคารภูมิภาคในวงกว้าง
- ในเอกสารที่ยื่นต่อ SEC (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา) Zions เปิดเผยว่าพบ “การแสดงข้อมูลเท็จและการผิดสัญญา” ในเงินกู้ภาคพาณิชย์ (C&I Loans) 2 รายการ รวมมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์ ภายใต้แผนก California Bank & Trust (CB&T) หนึ่งในธนาคารลูก (Subsidiary) ทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองเต็มจำนวนและบันทึกขาดทุน 50 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะกระทบผลประกอบการไตรมาส 3/2025
- ด้าน Western Alliance Regional Bank อีกแห่ง ก็ยืนยันว่ามีความเชื่อมโยงกับลูกหนี้กลุ่มเดียวกัน โดยให้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียนแก่ Cantor Group V, LLC และได้ยื่นฟ้องร้องข้อหาฉ้อโกงตั้งแต่เดือนสิงหาคม แม้ธนาคารเชื่อว่าหลักประกันยังเพียงพอ
- ข่าวดังกล่าวกระทบทั้งภาคธนาคารภูมิภาค โดย ดัชนี Regional Banks ร่วง 5.8% และหุ้น Jefferies ซึ่งเพิ่งได้รับผลกระทบจากการล้มละลายของ First Brands Group ดิ่งลง 10%
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา ปิดลบทั้งสามดัชนีหลัก Dow Jones -0.7% ที่45,952.24 จุด S&P 500 -0.6% ที่ 6,629.07 จุด Nasdaq -0.5% ที่ 22,562.54 จุด
- ดัชนี S&P Regional Banks Index ร่วง -6.3% เป็นการปรับลงครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่ Selloff รอบภาษีในเดือนเม.ย.
- เงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย โดยทองคำและเงิน (Silver) ทำจุดสูงสุดใหม่ จากแรงซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยง Credit Shock ขณะที่ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 2 ปี ลดลงแตะระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2022
- ความกดดันดังกล่าวส่งผลไปยัง ตลาดยุโรปและเอเชีย ที่ต่างปรับตัวลงเช่นกัน โดย ดัชนีธนาคารยุโรปปรับลด -2.7% ขณะที่ Deutsche Bank ลดลง -6%
แนวโน้มและกลยุทธ์การลงทุน
นักวิเคราะห์หลายราย มองว่า ความผันผวนล่าสุดในหุ้นธนาคารเป็นผลจากการล็อกกำไรหลังราคาปรับขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา มากกว่าจะสะท้อนถึงปัญหาด้านสินเชื่อเชิงโครงสร้าง ทั้งนี้ แรงขายส่วนหนึ่งอาจเกิดจาก Panic Selling ในภาวะตลาดที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะก่อนเข้าสุดสัปดาห์
ด้าน Jefferies ประเมินว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียง ความเสี่ยงเฉพาะตัว (Idiosyncratic Risk) ไม่ได้บ่งชี้ถึงปัญหาเชิงระบบ (Systemic Risk) ในภาคธนาคาร เนื่องจากธนาคารส่วนใหญ่ที่ปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ยังคงมีโครงสร้างการค้ำประกันที่รัดกุม ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อให้บริษัทจัดการเงินกองทุน (Fund Finance) สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีหลักประกันครบถ้วน สินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Credit Facilities) สำหรับบริษัทด้านการเงิน โดยรวมแล้ว Jefferies เห็นว่า คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารยังอยู่ในระดับมั่นคง และความเสี่ยงไม่ได้ขยายตัวจนกระทบต่อภาพรวมของภาคการเงิน
กลยุทธ์ที่เหมาะสมในช่วงนี้
แนวโน้มตลาดสหรัฐฯ และตลาดการเงินทั่วโลก ยังคงอยู่ในภาวะเปราะบางสูงท่ามกลางบรรยากาศที่ถูก
ขับเคลื่อนด้วยข่าวและความไม่แน่นอน นักลงทุนยังคงตอบสนองต่อกระแสข่าวอย่างรุนแรง ทำให้ความผันผวนในตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากความตึงเครียดจากสงครามการค้าแล้ว ตลาดยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากความเสี่ยง Government Shutdown ในสหรัฐฯ ซึ่งซ้ำเติมบรรยากาศการลงทุนให้ตึงเครียดมากขึ้น
ดังนั้น เรายังคงมุมมอง การกระจายการลงทุนทั้งตามสินทรัพย์และภูมิภาค ยังคงเป็นยุทธศาสตร์หลักในภาวะตลาดเปราะบางเช่นนี้โดย การเพิ่มน้ำหนัก ‘หุ้นโลก (Global Equity)’ เพื่อเปิดรับโอกาสการเติบโตจากเศรษฐกิจและนวัตกรรมระดับโลกและจัดสรรบางส่วนไปยัง ‘ตราสารหนี้โลก (Global IG Bonds)’ เพื่อลดความผันผวนในพอร์ตระยะยาว สำหรับ หุ้นสหรัฐฯ เรายังคงมุมมองเชิงบวก แต่เน้น ‘Selective Strategy’ เจาะลงทุนในธีมที่สอดคล้องกับ ‘เมกะเทรนด์ระยะยาว’ โดยเฉพาะ AI Ecosystems, Quantum Technology, Space Economy และ Nuclear Energy
โดยในช่วงโค้งสุดท้ายของเดือนต.ค. ก่อนการพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจยังคงเผชิญความผันผวนจากข่าวสารด้านภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายภาษี และปัจจัยมหภาคอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองว่า ความผันผวนในระยะสั้นเป็นโอกาสในการทยอยสะสมลงทุนในธีมเมกะเทรนด์ระยะยาว
สำหรับมุมมองต่อ กลุ่มธนาคารและการเงิน (US Financials) แม้ในระยะสั้นตลาดจะตอบสนองเชิงลบจากความกังวลด้านคุณภาพสินเชื่อของธนาคารภูมิภาค แต่เรามองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็น ความเสี่ยงเฉพาะตัว (Idiosyncratic Risk) มากกว่าจะลุกลามเป็น ความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) แต่ในขณะเดียวกัน ผลประกอบการไตรมาส 3/2025 ของธนาคารขนาดใหญ่ยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2025 อาจกลายเป็นแรงส่งเชิงบวกต่อภาคการเงิน ผ่านการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อและธุรกรรมทางการเงิน เราจึงประเมินว่า ความผันผวนในระยะนี้เปิดโอกาสให้ทยอยสะสม
ทั้งนี้ นักลงทุนควรติดตามตัวเลขเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และรักษาวินัยในการบริหารความเสี่ยงโดยใช้แนวทางล็อคกำไร (Profit Locking) และป้องกันความเสี่ยง (Stop Loss) อย่างเคร่งครัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุน
Source: Bloomberg, CNBC, Jefferies
LHFund 17 ต.ค 2025
คำเตือน
- ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- เนื่องจากกองทุน ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- ผลการดำเนินงานในอดีต ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

