สรุปภาวะตลาด

ครบกำหนด 90 วัน สหรัฐฯ ประกาศภาษีนำเข้าใหม่ กระทบ 92 ประเทศทั่วโลก
- เมื่อเช้าตรู่วันนี้ (ศุกร์ที่ 1 ส.ค. ตามเวลาประเทศไทย) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ในการเก็บภาษีนำเข้า 92 ประเทศ ในอัตราระหว่าง 10%–41% โดยประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม 92 นี้จะถูกเก็บภาษีในอัตราที่เฉพาะเจาะจงตามคำสั่งล่าสุด
- ตามแถลงการณ์จากทำเนียบขาวสินค้าทุกประเภทที่ถูกพิจารณาว่า transshipped หรือมีการส่งผ่านประเทศอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงอัตราภาษีจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 40%
- อัตราภาษีที่มีการปรับแก้จะมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่เวลา 00:01 น. ตามเวลาสหรัฐฯ ในวันที่ 7 ส.ค.นี้
กลุ่มยุโรป
สหราชอาณาจักร – ประเทศแรกที่ตกลงตั้งแต่เดือนพ.ค. โดยกำหนดภาษีฐานที่ 10% พร้อมโควต้าและข้อยกเว้นสำหรับสินค้ารถยนต์และอากาศยาน อย่างไรก็ตาม ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมยังอยู่ในระหว่างเจรจา รวมถึงภาษีบริการดิจิทัลที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้ยกเลิก
สหภาพยุโรป – บรรลุข้อตกลงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กำหนดภาษีฐานที่ 15% (จากเดิมที่ขู่ไว้ 30%) รถยนต์อยู่ที่ 15% และสินค้าบางรายการเช่นยาและอากาศยานกลับไปอัตราก่อน ม.ค. 2025
กลุ่มอาเซียน
เวียดนาม - ลดภาษีมากกว่าครึ่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศข้อตกลงเมื่อ 2 ก.ค. ลดภาษีจาก 46% เหลือ 20% แต่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการเก็บภาษี 40% ต่อสินค้าที่ถูก "ส่งผ่าน" จากประเทศอื่นมาเวียดนามก่อนเข้าอเมริกา
อินโดนีเซีย – บรรลุข้อตกลงเมื่อ 15 ก.ค. ลดภาษีจาก 32% เหลือ 19% และอินโดนีเซียจะยกเลิกภาษีมากกว่า 99% ของสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทั้งสินค้าเกษตรและพลังงาน รวมถึงอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีด้วย
ฟิลิปปินส์ – ลดเล็กน้อยลดภาษีจาก 20% เหลือ 19% เมื่อ 22 ก.ค. ฟิลิปปินส์จะไม่เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ
ไทย กัมพูชาและมาเลเซีย- ได้รับอัตราภาษีอยู่ที่ 19% หลังจากบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกัน ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้ประเด็นการค้าเป็นเครื่องมือในการกดดันให้ทั้งสองฝ่ายกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา ทางด้านมาเลเซียซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสันติภาพดังกล่าว ก็ได้รับอัตราภาษีเท่ากัน
กลุ่มเอเชีย
ญี่ปุ่น – ลดภาษีจาก 25% เหลือ 15% เมื่อ 23 ก.ค. และเป็นประเทศแรกที่ได้ภาษีพิเศษสำหรับภาคยานยนต์ ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่าญี่ปุ่นจะลงทุน 550 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ และให้ผลกำไร 90% กลับมายังอเมริกา
เกาหลีใต้ – ลดเหมือนญี่ปุ่น โดยบรรลุข้อตกลงล่าสุดเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ภาษีพื้นฐานอยู่ที่ 15% รวมถึงภาษีรถยนต์ ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่าเกาหลีใต้จะให้เงินลงทุน 350 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ และให้ผลกำไร 90% กลับมายังอเมริกา
ไต้หวัน - ได้รับภาษีที่ 20% จาก 32% แม้ยังสูงกว่าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อระบุผ่าน facebook ของตนว่าการเจรจายังคงดำเนินอยู่
ประเทศที่ยังไม่มีข้อตกลง
จีน – อยู่ระหว่าง “พักข้อตกลง” เริ่มจากภาษี 34% เมื่อ “Liberation Day” ก่อนปรับขึ้นสูงถึง 145% ต่อสินค้าจีน และ 125% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ ที่เข้าจีน ขณะนี้ภาษี ลดลงมาเหลือ 30% และ 10% ตามลำดับ โดยการพักจะสิ้นสุด 12 ส.ค. ล่าสุดเจรจาที่สต็อกโฮล์มจบลงโดยยังไม่มีการขยายเวลาพักและรายละเอียด
อินเดีย – ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศภาษี 25% พร้อมบทลงโทษเพิ่มเติมจากการซื้ออาวุธและพลังงานจากรัสเซีย และมองว่านโยบายการค้าของอินเดียไม่เป็นธรรม
แคนาดา - เผชิญภาษี 35% เริ่มต้น 1 ส.ค. โดยประธานาธิบดีทรัมป์อ้างเหตุผลจากการไหลเข้าของยาเสพติดฟินทานิลจากแคนาดาสู่สหรัฐฯ
เม็กซิโก - ได้รับการประกาศเลื่อนข้อตกลงทางภาษีออกไป 90 วัน โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขู่ว่าจะขึ้นอัตราภาษีแบบครอบคลุม (blanket tariff) สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกเป็น 30% นอกจากนี้ ยังระบุว่า เม็กซิโกได้ “ตกลงที่จะยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Trade Barriers) โดยทันที” แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าหมายถึงมาตรการใดบ้าง
แนวโน้มการลงทุนและกลยุทธ์การลงทุน :
เราเห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจเผชิญแรงกดดันในระยะสั้นจากความไม่ชัดเจนของรายละเอียดมาตรการภาษีชุดใหม่ โดยเฉพาะจากนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์ซึ่งยังมีความผันผวนและยากต่อการคาดการณ์ ในเชิงกลยุทธ์ เรายังคงให้น้ำหนัก “เป็นกลาง” (Neutral) ต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยแม้ดัชนี S&P 500 จะยังคงไต่ระดับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ความผันผวนของตลาดที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคตซึ่งอาจได้รับแรงกดดันจากนโยบายภาษีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีกลับแสดงสัญญาณที่แตกต่าง โดยยังคงเคลื่อนไหวแข็งแกร่งในช่วงสัปดาห์ที่ ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงของการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2025 หลายบริษัท โดยเฉพาะผู้นำในกลุ่ม AI และเทคโนโลยี ยังคงรายงานตัวเลขที่ดีกว่าคาด ซึ่งช่วยพยุง sentiment ของตลาดในภาพรวม
1.สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อยู่
สามารถถือต่อได้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีมุมมอง ระยะกลางถึงระยะยาว เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ โดยเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจหลักยังไม่ส่งสัญญาณเชิงลบอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี ในระยะสั้น นักลงทุนสามารถใช้จังหวะที่ตลาดปรับตัวขึ้น “ทำกำไร (Take Profit) บางส่วน” เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต
นอกจากนี้ เรายังแนะนำ “กลยุทธ์การลงทุนแบบ Selective Investment” โดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ภายใต้ธีม AI ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ระดับโลก ทั้งนี้ รายงานงบการเงินล่าสุดและแนวโน้มผลประกอบการ (guidance) ที่เปิดเผยออกมา ได้สะท้อนภาพชัดเจนถึงการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI ทั้งในด้านรายได้ กำไร และการขยายการลงทุนของบริษัทชั้นนำ โดยการเลือกลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ จึงเป็นแนวทางในการแสวงหาโอกาสจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก
2.กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่น
อย่างการลงทุนในตราสารหนี้เพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้พอร์ตการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นเผชิญความผันผวนจากนโยบายภาษี และเสริมรายได้ประจำให้พอร์ตผ่านดอกเบี้ย
โดยเราแนะนำกองทุน
- LHGIGO: กองทุนตราสารหนี้คุณภาพทั่วโลก เพื่อลดการแกว่งตัวของพอร์ตโดยรวมในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน
- LHMEGA: กองทุนหุ้นโลก มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัททั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของธุรกิจและอุตสาหกรรมสู่รูปแบบใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI, ดิจิทัล, และเมกะเทรนด์อื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
- LHGEQP: กองทุนหุ้นโลกแบบ Passive มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกที่มีการเติบโตโดดเด่น คัดเลือกหุ้นที่มีคุณภาพสูง ช่วยให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงไปยังหลากหลายภูมิภาคและกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมรับโอกาสจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
ทั้งนี้ นักลงทุนควรติดตามพัฒนาการเชิงนโยบายอย่างใกล้ชิด และรักษาวินัยในการบริหารความเสี่ยงโดยใช้แนวทางล็อกกำไร (Profit Locking) และป้องกันความเสี่ยง (โดยตั้งจุด Stop Loss 8-10%) อย่างเคร่งครัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุน
Souzrce: CNBC
Data as of 1 ส.ค. 2025
- ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- เนื่องจากกองทุน ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- ผลการดำเนินงานในอดีต ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต