กองทุนแนะนำ

IBM พลิกโฉมจากยักษ์ใหญ่ Legacy IT สู่ผู้นำ AI, Hybrid Cloud และควอนตัมคอมพิวติ้ง
บริษัท IBM ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นยักษ์ใหญ่แห่งโลกไอทีแบบดั้งเดิม (Legacy) ได้กลายเป็นหนึ่งในหุ้นเทคโนโลยีสำหรับองค์กร (Enterprise Tech) ที่ร้อนแรงที่สุดของปี โดย IBM ภายใต้การนำของ CEO Arvind Krishna สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ทางธุรกิจสามารถสร้างผลลัพธ์ทางการเงินที่จับต้องได้ จนรายได้จากกลุ่มซอฟต์แวร์และ AI เติบโตอย่างก้าวกระโดด และพลิกฟื้นความสามารถในการทำกำไรได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งสิ่งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเติบโตครั้งใหม่ ที่จะกำหนดนิยามของโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และคลาวด์สำหรับองค์กรทั่วโลก
ธุรกิจนี้น่าสนใจอย่างไร และมีกลยุทธ์อะไรในการเติบโต?
IBM ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1911 และเป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มาอย่างยาวนาน แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคคลาวด์
ปี 2020 ถือเป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ เมื่อ Arvind Krishna ผู้มีบทบาทสำคัญในการเข้าซื้อกิจการ Red Hat มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ก้าวขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO)
ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการมุ่งเน้นธุรกิจที่มีกำไรสูงและเป็นเทรนด์แห่งอนาคต Arvind ได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนธุรกิจครั้งใหญ่ โดยการแยก (spin-off) ธุรกิจบริการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน (Kyndryl) ที่มีการเติบโตต่ำออกไป และทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดไปที่ 2 สมรภูมิหลัก Hybrid Cloud และ AI สิ่งที่ทำให้ IBM กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คือการเป็น ผู้สนับสนุนในโลกเทคโนโลยี แทนที่จะแข่งขันโดยตรงกับยักษ์ใหญ่คลาวด์อย่าง AWS หรือ Azure
นอกจากนี้ IBM ยังได้สร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรสำหรับองค์กร ตั้งแต่การวางสถาปัตยกรรมคลาวด์ (Red Hat OpenShift), การพัฒนาและบริหารจัดการ AI (watsonx), การให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ (IBM Consulting) ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัยที่สุดในโลก (IBM Z Mainframe) สิ่งนี้ทำให้ IBM กลายเป็นพาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์ที่องค์กรทั่วโลกไว้วางใจในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและ AI
ผลการดำเนินงานทางการเงิน
ปี 2021 รายได้ 1,904,167.9 ล้านบาท กำไร 190,679.1ล้านบาท
ปี 2022 รายได้ 2,095,609.1 ล้านบาท กำไร 56,743.8 ล้านบาท
ปี 2023 รายได้ 2,129,035.6 ล้านบาท กำไร 258,196.3 ล้านบาท
ปี 2024 รายได้ 2,153,494.7 ล้านบาท กำไร 206,691.3 ล้านบาท
โดยไตรมาส 3 ปี 2025:
มีรายได้ 529,647.0 ล้านบาท เติบโตขึ้น 9.16% (YoY) และมีกำไรสุทธิ 56,561.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% (YoY) ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากกลุ่มธุรกิจ Software และ Consulting ที่มีอัตรากำไรสูง ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ
IBM แตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นอย่างไร ?
สิ่งที่ทำให้ IBM โดดเด่นคือ กลยุทธ์ 3 แกนหลักที่ทำงานประสานกันอย่างลงตัว
1.ผู้นำ Hybrid Cloud ด้วย Red Hat: IBM ไม่ได้สู้ในสงคราม Public Cloud แต่เป็นผู้ชนะในสงคราม Hybrid Cloud ด้วย Red Hat OpenShift ซึ่งทำหน้าที่เป็น ระบบปฏิบัติการกลาง ที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาและย้ายแอปพลิเคชันไปมาระหว่างคลาวด์เจ้าต่างๆ (AWS, Azure, Google) และศูนย์ข้อมูลของตัวเองได้อย่างอิสระ สิ่งนี้ทำให้ IBM เป็นพันธมิตร ไม่ใช่คู่แข่งของ Hyperscalers
2.AI สำหรับองค์กรที่เชื่อถือได้ (watsonx): ขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับ AI สำหรับผู้บริโภค IBM กลับมุ่งเป้าไปที่ตลาดที่ใหญ่และซับซ้อนกว่า นั่นคือ Enterprise AI แพลตฟอร์ม watsonx ถูกออกแบบมาเพื่อองค์กรที่ต้องการสร้าง AI บนข้อมูลส่วนตัวของตนเอง โดยเน้นเรื่องการกำกับดูแล (Governance), ความโปร่งใส และความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่โมเดล AI สาธารณะให้ไม่ได้
3.ผู้นำแห่งพรมแดนควอนตัม (Quantum Computing): IBM คือผู้นำที่ไม่มีใครเทียบได้ในการวิจัยและพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีศักยภาพที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมยา, การเงิน และวัสดุศาสตร์ในอนาคต แม้จะยังไม่สร้างรายได้ในปัจจุบัน แต่ความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีแห่งอนาคต และสร้างความได้เปรียบที่คู่แข่งตามไม่ทัน
Arvind Krishna ซีอีโอของ IBM ระบุว่า ลูกค้าของเราไม่ได้ต้องการแค่โมเดล AI แต่ต้องการแพลตฟอร์มที่ครบวงจรเพื่อปรับขนาด AI ไปทั่วทั้งองค์กรอย่างมีความรับผิดชอบ และนั่นคือสิ่งที่ watsonx และ Red Hat ส่งมอบ
ล่าสุด IBM กำลังขยายการใช้งาน watsonx ไปยังภาคส่วนต่างๆ มากขึ้น เช่น การเงิน, การผลิต และภาครัฐ โดยคาดว่าจะมีการประกาศความร่วมมือกับสถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่งภายในสิ้นปี 2568 นี้
สรุป IBM เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอทีที่ได้กลายสภาพเป็นผู้นำด้าน AI และ Hybrid Cloud ที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก และยังเป็นผู้กุมอนาคตของวงการคอมพิวเตอร์ด้วยเทคโนโลยีควอนตัม และการเติบโตนี้ ก็สะท้อนมายังมูลค่าบริษัทและราคาหุ้นของ IBM ที่ร้อนแรง จนปัจจุบัน IBM มีมูลค่าบริษัท 9.316 ล้านล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 32.34 บาท) ซึ่งราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมา +41.05% นับจากต้นปี และ +51.32% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568)
กองทุนแนะนำ : LHQTUM โดยน้ำหนักของหุ้น IBM ในกองทุนหลักเท่ากับ 1.10%
ความต้องการขององค์กรทั่วโลกที่จะนำ AI มาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และความจำเป็นในการจัดการสภาพแวดล้อมคลาวด์ที่ซับซ้อนกำลังจุดประกายการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลการลงทุนในบริษัทอย่าง IBM จึงเป็นโอกาสในการเติบโตไปกับเมกะเทรนด์ ที่จะช่วยให้ทุกธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลของตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องผูกมัดตัวเองไว้กับผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่งอีกต่อไป
Source: Ibm, Seeking Alpha, Trading View
Data as of October 31, 2025
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
เนื่องจากกองทุนป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งอาจไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ผลการดำเนินงานในอดีต ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

