สรุปภาวะตลาด

สรุปภาพรวมการลงทุนในเดือนที่ผ่านมา
ดัชนี MSCI All Country World Index (ACWI) ปรับตัวขึ้น +3.58% โดยเป็นการปรับตัวขึ้นในเกือบทุกภูมิภาคทั่วโลก สหรัฐฯ: S&P500 +3.53%, Nasdaq Composite +5.61%, และ Dow Jones +1.87%, เอเชีย: Nikkei 225 ของญี่ปุ่น +4.91%, CSI 300 ของจีนแผ่นดินใหญ่ +3.20%, Hang Seng ของฮ่องกง +7.09%, TAIEX ของไต้หวัน +6.55%, ขณะที่ Nifty 50 ของอินเดียเพิ่มขึ้นเล็กน้อย +0.75%, ยุโรป: Euro Stoxx 600 +1.46%, อาเซียน: SET Index ของไทย +3.04% ขณะที่ทางด้าน VN Index ของเวียดนามในเดือนที่ผ่านมากลับอ่อนตัว -1.02% โดยรวมแล้ว เดือนก.ย. ตลาดหุ้นโลกเคลื่อนไหวในเชิงบวก นำโดยสหรัฐฯ และเอเชีย ขณะที่ยุโรปและตลาดเกิดใหม่บางประเทศปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด
ภาพรวมในไตรมาส 3/2025 สินทรัพย์หลักทั่วโลกส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนในแดนบวก โดยได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยสำคัญ ทั้งบรรยากาศการค้าโลกที่ผ่อนคลาย ความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการเติบโตของเทคโนโลยี AI และความคาดหวังว่า Fed จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุน และกระตุ้นให้ตลาดการเงินทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งตลอดไตรมาส
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องหลังแรงเทขายที่เกิดจากประเด็นภาษีเมื่อต้นเดือน เม.ย. 2025 โดย S&P 500 และ Dow Jones ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 5 เดือน ขณะที่ Nasdaq ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 แล้ว สำหรับเดือน ก.ย. S&P 500 เพิ่มขึ้น +3.53%, Nasdaq Composite +5.61% และ Dow Jones +1.87%
ช่วงต้นเดือน ตลาดเผชิญแรงกดดันจากคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่ระบุว่ามาตรการเก็บภาษีทั่วโลกของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับความกังวลด้านวินัยการคลัง ทำให้ตลาดอ่อนตัวเล็กน้อยในระยะสั้น ก่อนที่บรรยากาศการลงทุนจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงกลางเดือน หลังตัวเลขการจ้างงานออกมาอ่อนแอกว่าคาด ซึ่งถูกตีความว่าเป็นแรงหนุนต่อการเร่งปรับลดดอกเบี้ยของ Fed
แรงซื้อเริ่มกลับมาเด่นชัดภายหลังการประกาศตัวเลข PPI และ CPI ในสัปดาห์ที่สอง ซึ่งออกมาต่ำกว่าคาด คลายความกังวลว่าอัตราภาษีจะเร่งเงินเฟ้อ และช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อนโยบายการเงินผ่อนคลายของ Fed ขณะเดียวกันการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของ Fed ในปีนี้เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ประกอบกับกระแสเชิงบวกจากธีม AI และข้อมูลเศรษฐกิจที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด ได้ช่วยขับเคลื่อนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกได้อย่างแข็งแกร่งในเดือน ก.ย. ซึ่งโดยปกติถือเป็นเดือนที่มีความท้าทายต่อการลงทุน
ในไตรมาส 3/2025 ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง +8.1% QoQ แม้จะมีความผันผวนระหว่างไตรมาส โดยเฉพาะจากแรงกดดันหลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ค. ออกมาอ่อนแอ และการเทขายพันธบัตรรัฐบาลในเดือน ก.ย. อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้แรงหนุนจากผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ออกมาดีกว่าคาด และพื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแสดงความยืดหยุ่น ช่วยประคองความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผลักดันตลาดให้ปิดไตรมาสในแดนบวกอย่างแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นยุโรป
ในเดือน ก.ย. ดัชนี Euro Stoxx 600 ปรับตัวขึ้น +2.76% MoM นำโดย DAX เยอรมนี +1.75%, FTSE 100 สหราชอาณาจักร +1.68% และ CAC 40 ฝรั่งเศส +2.44% โดยในช่วงสามสัปดาห์แรก ตลาดยุโรปเผชิญความผันผวนจากปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝรั่งเศส หลังอดีตนายกฯ Bayrou ถูกลงมติไม่ไว้วางใจและถูกแทนที่ด้วยนายกฯ Lecornu
อย่างไรก็ดี ตลาดสามารถพลิกบวกได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงปลายเดือน แรงหนุนหลักมาจากหุ้นกลุ่มกลาโหม หลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจุดยืนสนับสนุน NATO ในสงครามยูเครน–รัสเซียอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน กลุ่ม Healthcare ฟื้นตัวจากแรงซื้อคืนในหุ้นยาและเวชภัณฑ์ หลังตลาดประเมินว่ามาตรการเก็บภาษีนำเข้ายาสหรัฐฯ 100% ที่เริ่มมีผล 1 ต.ค. จะส่งผลจำกัดต่อบริษัทยายุโรป เนื่องจากหลายบริษัทมีแผนขยายฐานการผลิตในสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบ ตามการประเมินของ JPMorgan
สำหรับในไตรมาสที่ 3/2025 หุ้นยุโรป (ex-UK) เคลื่อนไหวในกรอบจำกัด โดยดัชนี MSCI Europe ex-UK ปรับขึ้นเพียง +2.8% QoQ ถูกกดดันจากความอ่อนแอของตลาดเยอรมนี ซึ่ง MSCI Germany ปรับตัวลง -1.2% QoQ และฉุดภาพรวมของภูมิภาค ขณะที่ฝรั่งเศสยังคงปรับตัวบวก โดย CAC 40 เพิ่มขึ้น +3.3% QoQ แม้เผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง ด้านตลาดอังกฤษทำผลงานโดดเด่นกว่า โดย FTSE All-Share ปรับขึ้น +6.9% QoQ แม้เศรษฐกิจภายในประเทศยังมีความท้าทาย แต่บริษัทจดทะเบียนในดัชนีมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศกว่า 75% ทำให้ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่ยังแข็งแกร่งและค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่า
มองไปข้างหน้า การชะลอตัวของเงินเฟ้อบวกกับการใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจช่วยให้ตลาดยุโรปกลับมามีโมเมนตัมอีกครั้ง โดย JP Morgan ระบุว่า การลดดอกเบี้ยของ ECB จะเป็นแรงกระตุ้น ‘credit impulse’ หรือ ‘แรงส่งจากสินเชื่อ’ โดยอ้างอิงความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างแรงส่งในการปล่อยสินเชื่อไปยังกิจกรรมเศรษฐกิจ และ PMI ให้ฟื้นตัว ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมนี และระดับ Valuation ที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำจะช่วยเสริมแรงหนุนให้ตลาดยุโรปมีโอกาสฟื้นตัวได้
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ในเดือนก.ย. ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น +4.91% MoM ทะลุจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ Topix ขยับเพิ่ม +2.03% MoM โดยระหว่างเดือน Nikkei 225 ทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล โดยได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ส่งต่อมาถึงหุ้นญี่ปุ่นกลุ่ม AI และความคาดหวังต่อนโยบายการคลังเชิงกระตุ้น หลังการลาออกของนายกรัฐมนตรี Ishiba และการเริ่มต้นกระบวนการเลือกตั้งผู้นำพรรค LDP นอกจากนี้ การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ลง 0.25% และความหวังต่อการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมช่วยหนุนสภาพคล่องทั่วโลก ด้านแรงกดดันจากการประกาศทยอยขาย ETF และ J-REIT ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีผลเพียงระยะสั้น ก่อนที่ตลาดจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงปลายเดือน
สำหรับในไตรมาสที่ 3/2025 ค่าเงินเยนที่อ่อนค่ามีบทบาทสำคัญในการหนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยในไตรมาส 3 ดัชนี Nikkei 225 และ TOPIX ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง +10.98% และ +9.98% ตามลำดับ นอกจากนี้ บรรยากาศเชิงบวกยังได้แรงส่งจาก ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ–ญี่ปุ่น ที่ลดภาษีสินค้าส่งออกญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดจาก 25% เหลือ 15% รวมถึง ข้อมูลเศรษฐกิจภายในประเทศที่แข็งแกร่ง และการเดินหน้าปฏิรูประบบธรรมาภิบาลของบริษัท (Corporate Governance Reforms) ที่เป็นมิตรต่อผู้ถือหุ้นมากขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยเสริมแรงหนุนให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดดเด่นเหนือภูมิภาคอื่นในไตรมาสที่ผ่านมา
มองไปข้างหน้า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังมีแรงขับเคลื่อนสำคัญหลายด้านที่หนุนโมเมนตัมเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ แนวโน้มการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้นหลังการเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ‘Sanae Takaichi ซึ่งคาดว่าจะเดินหน้านโยบายการคลังเชิงสนับสนุนเศรษฐกิจ โมเมนตัมการปรับประมาณการกำไรขึ้น (Earnings Revision Momentum) และความคืบหน้าของธีม ‘Corporate Change’ หรือการปรับโครงสร้างภาคธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ปัจจัยเหล่านี้มีแนวโน้มจะช่วยเสริมทั้งพื้นฐานและ Sentiment ของตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะถัดไป
ตลาดจีนและหุ้นฮ่องกง
ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือน ก.ย. 2025 โดยฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่ ดัชนี CSI 300 เพิ่มขึ้น +3.20% MoM ขณะที่ ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง พุ่งแรงถึง +7.09% MoM นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งได้แรงหนุนจากกระแสการลงทุนด้าน AI และนโยบาย ‘Anti-involution’ ของรัฐบาลจีนที่มุ่งลดการแข่งขันที่ไม่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในกลุ่มอินเทอร์เน็ตและเดลิเวอรี บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังได้รับแรงหนุนจากสภาพคล่องที่เอื้อทั้งในฝั่งแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง
ในฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่ รัฐบาลปักกิ่งประกาศ มาตรการสนับสนุนมูลค่า 5 แสนล้านหยวน ผ่านการปล่อยกู้ของธนาคารนโยบาย (Policy-bank Financing) ส่วนฝั่งฮ่องกงได้รับแรงหนุนต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง โดยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ Fed 25 bps เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ได้ส่งผลผ่านกลไกของ HKMA ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามทันที ทำให้อัตราดอกเบี้ยในฮ่องกงลดลง หนุนหุ้นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อเครดิต เช่น กลุ่มธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี แม้ภาพรวมตลาดหุ้นจีนจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ข้อมูลเศรษฐกิจจีนล่าสุดยังแสดงสัญญาณการฟื้นตัวเพียงบางส่วน ตลาดจึงยังคงจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐที่อาจถูกนำมาใช้เพื่อเสริมความเชื่อมั่นและผลักดันการเติบโตในระยะต่อไป
สำหรับในไตรมาสที่ 3/2025 หุ้นเทคโนโลยีจีนปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น โดยดัชนี Hang Seng Tech Index พุ่ง +22.1% QoQ และสะสมตั้งแต่ต้นปี (YTD) แล้วถึง +46.0% การปรับตัวขึ้นดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ นโยบายภาครัฐที่สนับสนุนผู้ผลิตชิปภายในประเทศ ซึ่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อตลาดเทคโนโลยีจีนในเชิงโครงสร้าง การเร่งลงทุนและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ AI จากบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนที่สะท้อนการเดินหน้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึกมากขึ้น และการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดและเปิดทางให้กระแสเงินทุนกลับเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยี
มองไปข้างหน้า ตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังต่อนโยบาย ‘Anti-involution’ ที่คาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อการขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนในวงกว้าง ขณะเดียวกันนักลงทุนยังให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการประชุม ‘Fourth Plenary Session’ ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือน ต.ค. 2025 โดยคาดว่า จะมีการประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ฉบับใหม่ (2026–2030) ซึ่งจะเน้นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยีและพลังงาน แผนดังกล่าวถือเป็นกรอบนโยบายสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการลงทุนของจีนในระยะกลางถึงยาวจึงเป็นปัจจัยที่ตลาดจับตาอย่างใกล้ชิด
ตลาดหุ้นไต้หวัน
ดัชนี TAIEX ของไต้หวันปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง +7.26% MoM ในเดือน ก.ย. 2025 ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ และกระแสความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งต่อธีม AI ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีของไต้หวันคึกคัก เม็ดเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสะสม +8.0 พันล้านดอลลาร์ฯ YTD สูงสุดในภูมิภาค สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งเป็นจุดแข็งเชิงโครงสร้างของตลาดไต้หวัน ดัชนี TAIEX ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ เม.ย. และเมื่อ 22 ก.ย. 2025 ทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 26,161.67 จุด
สำหรับในไตรมาสที่ 3/2025 ตลาดหุ้นไต้หวัน (MSCI Taiwan Index) ซึ่งมีสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีสูงถึง 83% ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง +14.7% ในไตรมาสล่าสุด สะท้อนแรงหนุนจากกระแสการลงทุนในธีมเทคโนโลยีและ AI ที่ยังคงเข้มข้น
มองไปข้างหน้า Goldman Sachs คาดว่า EPS ของไต้หวันในปี 2025–2026 จะเติบโตในระดับสองหลักที่ 12% และ 16% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค MSCI Asia ex Japan (MXAPJ) ที่คาดไว้ที่ 6% และ 13% ตามลำดับ สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งกว่าภูมิภาค และตอกย้ำบทบาทสำคัญของไต้หวันในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีของเอเชีย
ตลาดหุ้นอินเดีย
ตลาดหุ้นอินเดียในเดือนก.ย. 2025 เคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยดัชนี Nifty 50 ปรับขึ้นเล็กน้อย +0.75% MoM ขณะที่ Sensex ลดลง -0.12% MoM ท่ามกลางแรงกดดันและแรงหนุนที่สลับกัน โดยฝั่งลบมีน้ำหนักมากกว่า ปัจจัยกดดันหลักมาจากแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ (FII) สะสม -15.8 พันล้านดอลลาร์ฯ YTD สูงสุดในปี 2025 กดดันบรรยากาศการลงทุน อีกทั้งภาคเทคโนโลยีถูกกดดันจากการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการส่งบุคลากรไปทำงานต่างประเทศ นักวิเคราะห์ประเมินว่ามาตรการนี้อาจกระทบ EBIT ของบริษัท IT อินเดีย 1–6% ส่งผลให้ดัชนี Nifty IT Index ร่วง -8% ในสัปดาห์เดียว อย่างไรก็ดีตลาดยังได้แรงหนุนจากการปรับลดภาษี GST ที่มีผลตั้งแต่ 22 ก.ย. ทำให้กิจกรรมการบริโภคฟื้นตัวทันที ทั้งยอดธุรกรรมบัตรเครดิตบนอีคอมเมิร์ซและยอดจองรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญช่วยพยุง Sentiment ตลาดในช่วงปลายเดือน
สำหรับในไตรมาสที่ 3/2025 ตลาดหุ้นอินเดียเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกอย่างมีนัยสำคัญ โดยปรับตัวลดลง –3.55% QoQ ปัจจัยหลักมาจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดีย 50% ครอบคลุมสินค้าหลายประเภท โดยให้เหตุผลว่าอินเดียยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียในปริมาณสูง มาตรการภาษีดังกล่าวส่งผลให้ภาคการส่งออกของอินเดียเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก และกดทับบรรยากาศการลงทุนโดยรวมในตลาดตลอดไตรมาส
มองไปข้างหน้า แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกมาอย่างต่อเนื่อง แต่หากแรงกดดันเหล่านี้เริ่มคลี่คลาย ควบคู่กับการปรับตัวดีขึ้นของ Earnings Sentiment โดยเฉพาะในกลุ่ม Consumer Discretionary และ Consumer Staples ที่ได้แรงหนุนจากการปรับลดภาษี GST ก็อาจเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางตลาดในระยะถัดไป ขณะเดียวกัน กลุ่ม Consumer Cyclicals เริ่มแสดงสัญญาณการเข้าสู่ ‘จุดเปลี่ยนเชิงบวก’ (Inflection Point) หลังจากถูกกดดันจากการปรับลดประมาณการกำไรตลอดทั้งปี ปัจจัยเหล่านี้อาจกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยฟื้นบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียในช่วงต่อไปได้อย่างมีนัยสำคัญ
ตลาดหุ้นเวียดนาม
ตลาดหุ้นเวียดนามในเดือน ก.ย. 2025 ปรับตัวอ่อนตัวลง โดยดัชนี VN Index ลดลง -1.02% MoM หลังจากปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ต้นปี แรงกดดันหลักมาจากการขายทำกำไรของนักลงทุนและการรอดูท่าทีของตลาดก่อนการอัปเกรดสถานะตลาด (Market Upgrade) ในเดือน ต.ค. ขณะเดียวกัน สภาพคล่องในตลาดลดลง -32% MoM (แต่ยังเพิ่มขึ้น +132% YoY) สะท้อนภาวะพักฐาน (Consolidation) หลังจากที่ตลาดปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า
สำหรับในไตรมาสที่ 3/2025 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น +20.7% QoQ โดยได้แรงหนุนจากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ทยอยไหลกลับเข้ามาเพื่อเก็งกำไรก่อนการคาดการณ์การอัปเกรดสถานะตลาดจาก Frontier เป็น Emerging Market โดย FTSE ในเดือน ต.ค. 2025 ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อตลาดทุนเวียดนามอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้การผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังอย่างต่อเนื่องของภาครัฐยังช่วยเสริมแรงหนุนให้บรรยากาศการลงทุนฟื้นตัวชัดเจน ส่งผลให้ดัชนี VN Index ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งตลอดไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งจากแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศและกระแสเงินทุนต่างชาติที่กลับมาอย่างต่อเนื่อง
มองไปข้างหน้า คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/2025 จะเติบโตในระดับปานกลางที่ราว +12% YoY ขณะที่ทิศทางตลาดมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ขาขึ้นอีกครั้งหลังช่วงพักฐานระยะสั้น โดยได้รับแรงหนุนจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ นโยบายการคลังและการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี กระแสเงินทุนต่างชาติที่มีโอกาสไหลกลับภายหลังการอัปเกรดสถานะตลาดจาก Frontier เป็น Emerging Market ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องและความเชื่อมั่น และแนวโน้มกำไรที่เร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4/2025 โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคาร เหล็ก อสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด ภาพรวมดังกล่าวชี้ว่าตลาดเวียดนามมีปัจจัยพื้นฐานและกระแสเงินทุนสนับสนุนที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งอาจเปิดทางให้ตลาดเดินหน้าสร้างโมเมนตัมเชิงบวกได้ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี
ตลาดหุ้นไทย
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนก.ย. 2025 ปรับตัวขึ้น โดยดัชนี SET Index ปิดเดือน ก.ย. 2025 ที่ 1,274 จุด เพิ่มขึ้น +3.04% MoM เคลื่อนไหวในกรอบ 1,230–1,313 จุด ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลงเหลือ 42.5 พันล้านบาท (–15% MoM) สะท้อนความเชื่อมั่นที่ยังไม่แข็งแรงแม้ดัชนีจะปรับตัวขึ้นได้ แรงหนุนหลักมาจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศโดยเฉพาะการยืนยันตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอนุทินและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ได้รับการตอบรับเชิงบวกผสานกับปัจจัยภายนอก เช่น การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed และบรรยากาศการลงทุนเชิงบวกจากตลาดโลก อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของตลาดเกิดขึ้นท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางและขาดปัจจัยพื้นฐานใหม่เข้ามาหนุน ทำให้นักลงทุนยังคงอยู่ในโหมดระมัดระวัง
สำหรับในไตรมาสที่ 3/2025 ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3/2025 ยังคงเผชิญแรงกดดันจาก ปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอและความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยดัชนี SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย +3.04% QoQ แต่ภาพรวมยังสะท้อนความเปราะบางของตลาด แรงกดดันหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว ทั้งการหดตัวต่อเนื่องของผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับลดลง ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความกังวลด้านวินัยการคลัง ส่งผลให้ Fitch ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของไทยเป็น ‘Negative’ นอกจากนี้แรงขายสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติและค่าเงินบาทที่แข็งค่า ยังกดดันตลาดโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มส่งออก อย่างไรก็ดีตลาดได้รับแรงประคองในช่วงปลายไตรมาสจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเริ่มฟื้นตัวในเดือน ก.ย.
มองไปข้างหน้า นโยบายภาครัฐและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะทยอยประกาศออกมาในช่วงถัดไป อาจเป็นปัจจัยสำคัญในการพลิกฟื้น Sentiment ของตลาด โดยเฉพาะหากรัฐบาลส่งสัญญาณเชิงบวกที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน หาก Fed ส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยที่ชัดเจนมากขึ้น ก็มีโอกาสที่กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะเป็นแรงหนุนเพิ่มเติมต่อบรรยากาศการลงทุน นอกจากนี้ความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นก่อนการเลือกตั้งต้นปี 2026 ยังมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในการประคองความเชื่อมั่นของนักลงทุนช่วงปลายไตรมาส และอาจกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อทิศทางตลาดในระยะต่อไป
ดัชนี Bloomberg Global Aggregate Bond Index ปรับตัวขึ้น +0.74% ในเดือน ก.ย. 2025 โดยได้แรงหนุนจากการที่ส่วนต่างผลตอบแทน (Credit Spreads) ระหว่างพันธบัตรระดับ Investment Grade และพันธบัตรรัฐบาลปรับแคบลงต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นต่อคุณภาพเครดิตของผู้ออกตราสาร นอกจากนี้บรรยากาศการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ได้รับแรงหนุนจากการที่ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps ในการประชุมเดือน ก.ย. และคาดว่าจะลดต่ออีก 2 ครั้งในเดือน ต.ค. และ ธ.ค. ปัจจัยดังกล่าวเอื้อต่อกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรภาคเอกชน หนุนให้ภาพรวมของดัชนีปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน
ในไตรมาส 3/2025 ตลาดพันธบัตรทั่วโลกเผชิญความผันผวนต่อเนื่องตลอดทั้งไตรมาส ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ และความกังวลเกี่ยวกับวินัยการคลังของภาครัฐในหลายประเทศ อย่างไรก็ดีดัชนี Bloomberg Global Aggregate Bond Index ยังสามารถปิดไตรมาสในแดนบวกที่ +1.21% โดยได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หลังอัตราผลตอบแทนเริ่มปรับตัวลงจากจุดสูงสุดของปี การแคบตัวของ Credit Spreads ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นต่อคุณภาพเครดิตของภาคเอกชนระดับสูง
มองไปข้างหน้า นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในปี 2025 และอีก 2 ครั้งในปี 2026 ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากทิศทางดอกเบี้ยขาลงช่วยลดแรงกดดันต่อผลตอบแทนพันธบัตร (yields) และสนับสนุนให้ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้น ขณะเดียวกันยังเอื้อต่อบรรยากาศการลงทุนและกระตุ้นกระแสเงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชน
ทองคำ
เดือน ก.ย. 2025 กลายเป็นเดือน ‘ประวัติศาสตร์’ ของตลาดทองคำ โดยราคาทองคำทะลุระดับ 3,800 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นครั้งแรก และปรับตัวขึ้นถึง +11.76% ในเดือนเดียว ซึ่งนับเป็นผลงานรายเดือนที่ดีที่สุดตั้งแต่ปี 2009 แรงหนุนสำคัญมาจากการเข้าซื้อของนักลงทุนสถาบัน โดยมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ากองทุน ETF ขนาดใหญ่อย่าง SPDR Gold Trust อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างชัดเจน
ภาพรวมไตรมาส 3/2025 ราคาทองคำปรับขึ้นถึง +17.03% ทำให้ทองคำกลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดของปี 2025 ปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ แรงซื้อจากธนาคารกลางที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ ความคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโอกาสในการถือครองทองและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กระตุ้นอุปสงค์จากนักลงทุนทั่วโลก
มองไปข้างหน้า นักลงทุนจับตานโยบายการเงินของ Fed อย่างใกล้ชิด โดยตลาดคาดว่า Fed อาจเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 4/2025 ซึ่งจะยิ่งลดต้นทุนโอกาสของการถือครองทองคำ (ที่ไม่มีดอกเบี้ย) และเพิ่มความน่าดึงดูดให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น
เศรษฐกิจสหรัฐฯ : เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในเดือน ก.ย. 2025 ส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงประคองหลักจาก การบริโภคภาคครัวเรือน ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มคลี่คลาย และตลาดแรงงานที่เริ่มเย็นลง กำลังเปิดทางให้นโยบายการเงินเข้าสู่จังหวะ ‘เตรียมผ่อนคลาย’ ได้มากขึ้น
มาตรการ Reciprocal Tariff ยังไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเงินเฟ้อ โดยเงินเฟ้อทั่วไปปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 2.7% YoY เป็น 2.9% ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดกังวล แรงส่งผ่านจากภาษีนำเข้ามายังราคาสินค้าในประเทศยังมีขนาดจำกัด ด้านตลาดแรงงานเริ่มแสดงสัญญาณชะลอ โดยตัวเลขการจ้างงานเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานปรับขึ้นเล็กน้อยเป็น 4.3% แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูง ตลาดคาดว่า Fed จะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางยังคงส่งสัญญาณความระมัดระวัง โดยเน้นเป้าหมายในการนำเศรษฐกิจไปสู่ ‘Soft Landing’ มากกว่าการเร่งผ่อนคลายนโยบายอย่างรวดเร็ว โดยรวมแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ ช่วงปลายวัฏจักร (Late Cycle) สะท้อนจากดัชนีภาคการผลิต (ISM) ภาคบริการ และยอดค้าปลีกที่ทยอยอ่อนแรง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนและตลาดที่อยู่อาศัยยังถูกกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดีการบริโภคภาคครัวเรือนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยประคองไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว
เศรษฐกิจยุโรป : เศรษฐกิจยุโรปในเดือน ก.ย. 2025 ชะลอตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ของยุโรปทรงตัวที่ +2.3% YoY ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ ต.ค. 2021 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ขณะที่อัตราว่างงานเดือน ส.ค. ขยับขึ้นเป็น 6.3% (คาด 6.2%) จากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.2% สะท้อนตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง ด้าน ECB ยังคงท่าทีระมัดระวังในการประชุมปลาย ต.ค. แม้เงินเฟ้อชะลอและเศรษฐกิจซบเซา โดยเฉพาะในเยอรมนีและอิตาลี แต่ยังไม่เร่งลดดอกเบี้ยเพราะกังวลต่อเงินเฟ้อพื้นฐาน เสถียรภาพการเงิน และภาระงบด้านโครงสร้างพื้นฐานและความมั่นคง
ด้านการเมือง ฝรั่งเศสเผชิญความไม่แน่นอนหลังรัฐบาล Bayrou ล่ม และนายกฯ Lecornu ลาออกหลังดำรงตำแหน่งเพียง 27 วัน กระทบต่อกระบวนการผ่านงบประมาณปลายปี ขณะเดียวกันความตึงเครียดทางทหารในโปแลนด์ โรมาเนีย และเอสโตเนียเพิ่มขึ้น ทำให้ NATO ต้องส่งกำลังเสริม แม้ยังไม่มีความเสียหายทางกายภาพ แต่สะท้อนความเปราะบางของยุโรปที่อยู่ใกล้สมรภูมิรัสเซีย–ยูเครนซึ่งยืดเยื้อมากว่า 3 ปี อย่างไรก็ดี มีสัญญาณบวกจากผลสำรวจธุรกิจที่เริ่มสะท้อนการฟื้นตัวของภาคการผลิต โดยเฉพาะในเยอรมนี ซึ่งคาดว่าจะได้แรงหนุนจากมาตรการการคลัง ส่งผลให้เศรษฐกิจยูโรโซนอาจทยอยฟื้นตัวในไตรมาสถัดไป เมื่อแรงกดดันจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ลดลง
เศรษฐกิจญี่ปุ่น : ภาคเศรษฐกิจจริงของญี่ปุ่นยังผันผวน โดย Composite PMI เดือน ก.ย. ลดลงสู่ 51.3 จาก 52.1 ต่ำสุดตั้งแต่ พ.ค. 2025 สะท้อนการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง ภาคการผลิตหดตัว (48.5 จาก 49.7) แม้ภาคบริการยังขยายตัวเล็กน้อย (53.3 จาก 53.1) อย่างไรก็ดี อุปสงค์ในประเทศยังแข็งแกร่งตามข้อมูล GDP ล่าสุด หนุนแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของ BoJ ด้านเงินเฟ้อ คาดว่าจะชะลอลงระยะสั้นจากการกลับมาใช้นโยบายอุดหนุนค่าสาธารณูปโภค แต่แรงผลักดันด้านราคาพื้นฐานยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะราคาข้าวที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งอาจยกระดับความคาดหวังเงินเฟ้อของครัวเรือน และกระตุ้นให้การเจรจาค่าจ้างฤดูใบไม้ผลิ (Shunto) ปีหน้าเข้มข้นขึ้น ช่วยตรึงเงินเฟ้อให้อยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของ BoJ โดยคาดว่า BoJ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยสู่ 0.75% ในไตรมาส 4/2025 และแตะ 1.0% ภายในสิ้นปี 2026 แม้ความคาดหวังการขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ลดลงหลัง Ishiba ลาออกก็ตาม
ด้านการเมือง พรรค LDP ได้เลือก ซานาเอะ ทาคาอิจิ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่เมื่อวันที่ 4 ต.ค. และมีแนวโน้มที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงของญี่ปุ่นคนแรก ส่งสัญญาณถึงความต่อเนื่องทางนโยบาย แม้ว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยยังต้องพึ่งพาความร่วมมือแบบเฉพาะกิจจากฝ่ายค้าน การเปลี่ยนผู้นำครั้งนี้อาจเปิดทางให้มีมาตรการการคลังเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป
เศรษฐกิจอินเดีย : GDP ของอินเดียเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 2/2025 สู่ระดับ 7.8% YoY ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชนเติบโต 7.0% การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัว 7.4% การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น 7.8% ภาคบริการเติบโตสูงสุดที่ 9.3% รองลงมาคือภาคการผลิต 7.7% และภาคเกษตร 3.7% อย่างไรก็ตาม อินเดียเผชิญแรงกดดันจากการนำเข้าเพิ่มขึ้น 10.9% ซึ่งสูงกว่าการส่งออกที่ขยายตัวเพียง 6.3% โดยการนำเข้าที่พุ่งขึ้นนี้เกิดจากความต้องการภายในประเทศที่ฟื้นตัว ทั้งด้านการบริโภคและการลงทุน รวมถึงความต้องการวัตถุดิบและสินค้าทุนเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้ราคาน้ำมันจะลดลงแต่ปริมาณการนำเข้ายังคงขยายตัว ทำให้อุปสงค์ในประเทศยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไต้หวัน : เศรษฐกิจไต้หวันในเดือน ก.ย. 2025 ส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนหลักจาก อุปสงค์ต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2025 จาก 3.05% เป็น 4.55% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งใหญ่ สะท้อนความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่สดใส โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ที่กลับมาขยายตัวอย่างโดดเด่น โดย CBC มีมติ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.0% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในกรอบที่ควบคุมได้ ทำให้สามารถใช้นโยบายการเงินแบบประคับประคองเพื่อหนุนการเติบโตได้เต็มที่
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไต้หวันมีภาคการส่งออกยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยได้รับอานิสงส์จากความต้องการชิปขั้นสูงและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ทั่วโลก ส่งผลให้ตัวเลขส่งออกเดือน ส.ค. 2025 พุ่งขึ้นแตะ 58.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และขยายตัวถึง +34.1% YoY โดยรวมเศรษฐกิจไต้หวันกำลังฟื้นตัวเชิงโครงสร้างจากเทรนด์ AI และการลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะที่นโยบายการเงินที่คงอัตราดอกเบี้ยของ CBC ช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและเอื้อต่อการเติบโตในระยะกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เศรษฐกิจเวียดนาม : เศรษฐกิจเวียดนามไตรมาส 3/2025 ขยายตัวแข็งแกร่ง GDP โต +8.2% YoY สูงกว่าคาด แม้ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ทำให้เฉลี่ย 9 เดือนแรกโต +7.85% YoY สะท้อนความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ แรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคอุตสาหกรรมและก่อสร้างที่เร่งตัว +9.5% YoY การส่งออกเดือน ก.ย. โต +24.7% YoY โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ +66.2% จากการยกเว้นภาษีของสหรัฐฯ ภาคอุตสาหกรรม ค้าปลีก และท่องเที่ยวฟื้นตัวชัด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น +40.2% เงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่ควบคุมได้ ด้านการลงทุนรวมโต +13.3% YoY นำโดยภาครัฐและ FDI ที่แข็งแกร่งจากกฤษฎีกา 205 ที่เริ่มใช้ 1 ก.ย. ที่ให้สิทธิประโยชน์ด้าน training & R&D สูงสุด 70% ดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมสนับสนุนกฤษฎีกา 205 ขณะที่ธนาคารกลาง (SBV) คาดจะคงดอกเบี้ยเพื่อหนุนการเติบโต โดยสรุปภาพรวมสะท้อนเศรษฐกิจเวียดนามที่ขยายตัวดีและยืดหยุ่นสูง
เศรษฐกิจไทย : ข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือนของธปท. เดือน ส.ค. 2025 สะท้อนสัญญาณชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในหลายภาคส่วน หลังแรงส่งจากการส่งออกล่วงหน้าเริ่มลดลง ภาคอุตสาหกรรมหดตัว -4.2% YoY ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมาตรการภาษีตอบโต้ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกขาดดุล 1.5 พันล้านดอลลาร์ฯ ความอ่อนแอยังกระจายไปยังภาคเกษตรและบริการ โดยรายได้เกษตรกรลดลง -11.7% YoY ต่ำสุดตั้งแต่ มี.ค. 2023 ดัชนีการผลิตภาคบริการชะลอเหลือ +1.5% จาก +3.1% ในเดือนก่อน ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงราว -4% ตามการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชะลอตัว ภาคการลงทุนก่อสร้างยังซบเซาจากปัญหาแรงงานชายแดนและการอนุญาตก่อสร้างที่ลดลง แม้จะได้แรงหนุนบางส่วนจากการก่อสร้างภาคอุตสาหกรรมและพาณิชย์ที่เติบโตตาม FDI (+90% ใน 1H25) ส่วนการบริโภคภาคเอกชนเริ่มแผ่วตามการชะลอตัวของภาคบริการและแรงกดดันภายในประเทศ
ในระยะข้างหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะได้แรงพยุงจากฤดูกาลท่องเที่ยวไฮซีซันในไตรมาส 4 ซึ่งมีแนวโน้มช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายได้ท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน รัฐบาลชุดใหม่มีแนวโน้มจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อหนุนอุปสงค์ในประเทศในช่วงปลายปี นอกจากนี้ภาวะเงินเฟ้อต่ำและการเติบโตที่อ่อนแอเปิดโอกาสให้กนง. (MPC) สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งภายในไตรมาส 1/2026 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
แนวโน้มตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังก้าวเข้าสู่ไตรมาส 4 ภายใต้บริบทที่เอื้อต่อการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งจากปัจจัยเชิงสถิติและเศรษฐกิจมหภาค โดยสถิติแล้วในไตรมาส 4 มักเป็นช่วงที่ตลาดให้ผลตอบแทนโดดเด่น โดยเฉลี่ย +5.31% และบวก 9 ใน 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนในปีนี้ปัจจัยหนุนสำคัญคือ การที่ Fed เข้าสู่วงจรลดดอกเบี้ย โดยคาดว่าจะปรับลดอีก 2 ครั้งในเดือน ต.ค. และ ธ.ค. ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปลายทางอยู่ที่ 3.00–3.25% บวกกับ สภาพแวดล้อมแบบ Goldilocks หรือเศรษฐกิจขยายตัว เงินเฟ้อต่ำ และนโยบายการเงินผ่อนคลาย ซึ่งจะช่วยหนุนตลาดทั้งด้าน Earnings และ Valuation โดยไม่มีแรงกดดันจากดอกเบี้ยหรือเงินเฟ้อสูงเกินไป ขณะเดียวกันตลาดยังคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3 จะออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้แรงส่งจาก AI นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากการลงทุน Capex ภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง มาตรการลดภาษี และแรงซื้อจาก year-end rally เมื่อนักลงทุนสถาบันเร่งเพิ่มน้ำหนักพอร์ตในช่วงปลายปี หนุนให้แนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในไตรมาส 4 ยังคงมีโมเมนตัมในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ดีแม้ตลาดอยู่ในโหมด ‘Risk On’ แต่ Sentiment นักลงทุนยังไม่ร้อนแรง เห็นได้จากเม็ดเงินที่ยังไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตร ทองคำ และกองทุนตลาดเงิน ขณะที่นักลงทุนสถาบันยังมีท่าทีระมัดระวัง ต่างจากนักลงทุนรายย่อยที่มองบวกมากกว่า นอกจากนี้ตลาดสหรัฐฯ ยังคงเผชิญความเสี่ยงสำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาล (Government Shutdown) ตั้งแต่ 1 ต.ค. แม้สถิติในอดีตชี้ว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นมักจำกัด แต่นักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้นในครั้งนี้ เนื่องจากบริบทเศรษฐกิจและนโยบายที่ผันผวน มูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูง การกระจุกตัวของตลาดในหุ้นกลุ่ม AI และความกังวลด้านเงินเฟ้อที่ยังไม่หมดไป
ขณะเดียวกัน ‘ประเด็นภาษี (Reciprocal Tariff)’ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ แม้มีแนวโน้มสูงที่จะขยาย ‘การสงบศึกทางภาษี’ ออกไปอีก 90 วัน จากการพบปะระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีนในการประชุม APEC ปลายเดือนนี้ แต่ทว่าเมื่อ 1 ต.ค. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้จุดประเด็นภาษีใหม่ โดยประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับยาที่จดสิทธิบัตร, 25% สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ และ 30–50% สำหรับสินค้าครัวเรือนและเฟอร์นิเจอร์ พร้อมเปิดการสืบสวนเพิ่มเติมในกลุ่มหุ่นยนต์ เครื่องจักร และอุปกรณ์การแพทย์ อย่างไรก็ดี แม้อัตราภาษีที่ประกาศจะดูสูง แต่ผลกระทบจริงอาจจำกัด เนื่องจากมีข้อยกเว้น เช่น จากข้อตกลง USMCA นอกจากนี้ ต้นเดือน พ.ย. ศาลสูงสหรัฐฯ จะพิจารณาคดีสำคัญที่อาจจำกัดอำนาจฝ่ายบริหารในการกำหนดนโยบายภาษี ซึ่งหากมีคำตัดสินเช่นนั้นจะช่วยจำกัดอำนาจของทำเนียบขาว และปรับสมดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับสภาคองเกรส ขณะเดียวกันประเด็นทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตา โดย ‘สงครามรัสเซีย–ยูเครน’ ยังเป็นความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์หลัก โดยมีความเป็นไปได้ที่จะยกระดับสู่การปะทะโดยตรงกับ NATO ซึ่งอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก
โดยรวม แม้ว่าตลาดยังมีแนวโน้มเชิงบวก (Upside Bias) จากแรงหนุนของนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและสภาพแวดล้อมแบบ Goldilocks ที่เอื้อต่อสินทรัพย์เสี่ยง แต่ความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย มูลค่าหุ้นที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงความเสี่ยงด้านการคลัง การค้า และภูมิรัฐศาสตร์ที่ทับซ้อนกัน ยังคงเป็นปัจจัยจำกัดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้แม้ตลาดมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในไตรมาส 4 แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่การันตีได้อย่างแน่นอน
ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่มีโมเมนตัมเชิงบวก แต่ตลาดยังคงเผชิญประเด็นท้าทายหลายด้าน การกระจายการลงทุนทั้งในมิติของสินทรัพย์และภูมิภาคจึงยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในแนวทางหลักคือ การกระจายการลงทุนผ่านการเพิ่มน้ำหนักไปยัง หุ้นโลก (Global Equity) ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยเฉพาะประเทศ และสร้างสมดุลให้กับพอร์ตโดยรวม ขณะเดียวกันการจัดสรรบางส่วนไปยังตราสารหนี้คุณภาพสูงระดับโลก (Global Investment Grade Bonds) จะช่วยเพิ่มรายได้ประจำ (income) และประโยชน์ด้านการกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่วงจรการลดดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยเสริมเสถียรภาพของกระแสเงินสดและเพิ่มความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุนในระยะยาว
ทั้งนี้เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ แต่เน้น ‘กลยุทธ์แบบ Selective’ โดยการเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ระยะยาว ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะ ‘กลุ่ม AI Ecosystems’ ที่ยังคงเป็นแกนหลักของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระดับโลก พร้อมกันนี้นักลงทุนควรพิจารณาอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงจำกัดกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือได้รับผลกระทบไม่มากจากนโยบายกีดกันทางการค้า เช่น Quantum Technology, Space Economy, Nuclear Energy และ Esports ซึ่งล้วนสะท้อนกระแสการเติบโตใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก การกระจายน้ำหนักไปยังอุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่เพียงช่วยตอบโจทย์โอกาสการเติบโตในอนาคต แต่ยังเพิ่มความยืดหยุ่น (resilience) และช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน ในภาวะตลาดที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอีกด้วย
LHGEQP
กองทุนหุ้นโลกที่กระจายการลงทุนตามดัชนีอ้างอิง MSCI ACWI ลงทุนใน iShares MSCI ACWI ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ครอบคลุมทั้งประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตระยะยาวจากหุ้นทั่วโลก พร้อมกระจายความเสี่ยงด้านภูมิภาคอย่างสมดุล
LHGIGO
กองทุนตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก ลงทุนใน Man Global Investment Grade Opportunities (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก ในระดับ Investment grade มุ่งเน้นความมั่นคงของพอร์ต ผ่านกลยุทธ์การคัดเลือกผู้ออกตราสารรายตัว เพื่อเลือกลงทุนในเครดิตคุณภาพสูง เหมาะสำหรับการรับมือกับภาวะตลาดที่ผันผวนและลดความไม่แน่นอนจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก
LHSPACE
กองทุนธีมเศรษฐกิจอวกาศ ลงทุนใน Neuberger Berman Next Generation Space Economy Fund (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV เน้นธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมอวกาศ (Space Economy) เช่น การปล่อยดาวเทียมและยานอวกาศ การปล่อยดาวเทียมและยานอวกาศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม การสังเกตการณ์โลก (Earth Observation) และระบบนำทางและ GPS ซึ่งจะมีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต
LHESPORT
กองทุนธีมอีสปอร์ตและเกมมิ่ง ลงทุนใน VanEck Vectors Video Gaming and eSports ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งลงทุนในธุรกิจที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตทั่วโลก ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามกระแสความนิยมและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
LHQTUM
กองทุนธีมควอนตัมเทคโนโลยี ลงทุนใน Defiance Quantum ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานของ Quantum Technology และ AI พร้อมคัดเลือกบริษัทที่สะท้อนธีมควอนตัมอย่างแท้จริง เพื่อคว้าโอกาสจากเมกะเทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
LHNUKZ
กองทุนธีมควอนตัมเทคโนโลยี ลงทุนใน Range Nuclear Renaissance Index ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในธุรกิจที่อยู่ตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ (Nuclear Value Chain) โดยเน้นบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากกระแส ‘Nuclear Renaissance’ และความต้องการพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
Source: LHFUND, Trading Economy, investing.com, Seeking Alpha, Bloomberg, JPMorgan, BlackRock, Golman Sachs, Sumitomo Trust Asset Management, CNBC, Reuters, Financial Times, Economic Times
Data as of: 7 Oct 2025
เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือ
ได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน