ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันนับจากเม.ย. โดยดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 6,501.86 จุด ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่ม Health Care, Gold Miners, Homebuilding, Auto Parts, Passenger Airline และ Technology Hardware อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นเดือน ตลาดเผชิญแรงกดดันหลังมีการปรับลดตัวเลข Non-farm Payrolls ของเดือนพ.ค. และมิ.ย. รวมกว่า 258,000 ตำแหน่ง สร้างความประหลาดใจต่อนักลงทุนและบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อตลาดแรงงาน พร้อมกดดันให้ความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed ลดลง แต่บรรยากาศการลงทุนกลับฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงกลางเดือน หลังผลประกอบการของบริษัทสหรัฐฯ ทยอยออกมาแข็งแกร่ง ช่วยคลายแรงกดดันและหนุนให้ดัชนีกลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางบวก

โดยผลประกอบการไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดย 489 บริษัท (จาก 500 บริษัทใน S&P500) นั้นมีถึง 395 บริษัทที่มีผลกำไรออกมาดีกว่าที่ Analyst Consensus คาด และโดยเฉลี่ยมีกำไรเติบโต 12.4% YoY และกำไรออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด 7.7% โดยกลุ่มที่กำไรโดดเด่นคือ กลุ่ม Technology, Financials และ Consumer Discretionary แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดให้ความสำคัญต่อผลประกอบการของบริษัท Nvidia มากที่สุด โดยผลกำไรไตรมาส 2 นั้นมีการเติบโตถึง 59% YoY แต่ถือว่าไม่ได้ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดหวังมากนัก โดยนาย Jensen Huang นั้นได้มีการตัดรายการขายชิป H20 ให้กับประเทศจีนออกทั้งหมดทั้งจากในไตรมาส 2 และ Guidance ของไตรมาส 3 ซึ่งได้ทำให้หุ้น Nvidia และหุ้นในกลุ่ม AI ปรับตัวลงในช่วงปลายเดือนส.ค.

ตลาดหุ้นยุโรป
ดัชนี Euro Stoxx 600 ปรับขึ้น +0.74% ในเดือนส.ค. โดยแสดงแรงบวกชัดเจนในช่วงต้นถึงกลางเดือน นำโดยหุ้นธนาคาร กลุ่มผู้บริโภค และกลุ่มสุขภาพ ก่อนจะเริ่มชะลอตัวในช่วงปลายเดือนจากความไม่แน่นอนด้านการเมืองยุโรป แต่ยังได้แรงหนุนจากผลประกอบการและข่าวเชิงบวกด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งนี้ หากพิจารณารายประเทศ ดัชนี DAX ของเยอรมนีเคลื่อนไหวในแดนบวกเช่นกัน สะท้อนความเชื่อมั่นต่อภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก แม้ยังมีแรงกดดันจากภาวะอัตราดอกเบี้ยสูง ด้านดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรปรับขึ้นเล็กน้อย +0.60% โดยถูกถ่วงจากปัจจัยในประเทศ ทั้งตัวเลขเงินเฟ้อก.ค. ที่ออกมาสูงกว่าคาด และท่าทีเข้มงวดของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ซึ่งแม้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ในเดือนส.ค. แต่ทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังต่อการผ่อนคลายเพิ่มเติมในปี 2025 ขณะที่ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนตัวลง ส่วนดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสกลับกดดันบรรยากาศโดยรวม โดยดัชนีปรับลง –0.9% จากความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยทั้งหมดสะท้อนภาพรวมที่แม้ตลาดยุโรปยังแข็งแกร่ง แต่ยังแฝงด้วยความระมัดระวังต่อปัจจัยมหภาคและการเมือง

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ในเดือนส.ค. ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้น +4.01% ทะลุระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ Topix ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม +4.49% โดยแรงหนุนสำคัญมาจากการฟื้นตัวในหุ้นกลุ่ม Metal, Mining, Real Estate, Construction และ Power ปัจจัยบวกหลักคือ ความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าที่ลดลง หลังสหรัฐฯ ปรับลดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นจาก 27.5% เหลือ 15% และยืนยันว่าจะไม่เก็บภาษีซ้อน (tariff stacking) การผ่อนคลายนี้ช่วยหนุนหุ้นผู้ส่งออกขนาดใหญ่ เช่น Toyota, Sony และ SoftBank ให้ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อเริ่มอ่อนตัวลง โดยตัวเลข Core CPI เดือนก.ค. ชะลอลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ +3.1% YoY ซึ่งลดความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อคงที่ของญี่ปุ่น ด้านปัจจัยพื้นฐานมีสัญญาณบวกเพิ่มเติมโดยการลงทุนภาคธุรกิจ (Capex) ไตรมาส 2 ขยายตัว +7.6% YoY สะท้อนความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อความต้องการภายในประเทศ และช่วยหนุนภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
 

ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีน
ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในเดือนส.ค. โดยเฉพาะฝั่งแผ่นดินใหญ่ที่ดัชนี CSI 300 พุ่งขึ้นถึง +10.33% แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของเดือนก.ค. ไม่ว่าจะเป็นยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม อัตราการว่างงาน และภาคอสังหาริมทรัพย์ ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ทั้งหมด แต่ความอ่อนแอนี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลจีนเปลี่ยนท่าที โดยหันมาใช้มาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจในทุกด้าน ทั้งฝั่งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่ภาครัฐมุ่งเน้นการควบคุมและกดดันภาคเอกชนอย่างเข้มงวด ปัจจุบันนักลงทุนกำลังจับตาความชัดเจนและผลลัพธ์ของมาตรการกระตุ้น โดยเฉพาะมาตรการที่มุ่งส่งเสริมการบริโภคในประเทศซึ่งถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ และการที่รัฐบาลเริ่มเข้ามาควบคุมความร้อนแรงของตลาดหุ้น รวมถึงการจำกัดความเสี่ยงจากการเก็งกำไรด้วย leverage ที่สูงเกินไป ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ตลาดหุ้นไต้หวัน
ดัชนี TAIEX ของไต้หวันปรับตัวขึ้น +2.93% ในเดือนส.ค. นำโดยหุ้นผู้ส่งออกและกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Capital Goods (+6%), Hardware & Semis (+4%) และ TSMC (+2%) แม้หุ้นนอกกลุ่มเทคโนโลยียังถูกกดดันจากแรงขายต่อเนื่อง แต่การกลับมาเข้าสู่โหมด Risk-on ของ Hedge Fund และนักลงทุนรายย่อยช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน ขณะที่กระแสเงินทุนต่างชาติพลิกมาขายสุทธิราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากก่อนหน้านี้ซื้อสะสมหนักในหุ้นเทคโนโลยี ด้านกองทุนภายในประเทศและนักลงทุนรายย่อยยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่อง ช่วยพยุงตลาดไม่ให้ลงแรง ค่าเงิน TWD ทรงตัวที่ระดับ 30.6 ขณะเดียวกัน ตลาดยังจะได้แรงหนุนจากปัจจัยบวกด้านการปรับน้ำหนักในดัชนี FTSE Global Equity Index Series (19 ก.ย.) ซึ่งคาดว่าจะนำเม็ดเงินไหลเข้าอีกราว 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ภาพรวมตลาดยังคงรักษาโมเมนตัมเชิงบวกได้ต่อเนื่อง

ตลาดหุ้นอินเดีย
ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลงในเดือน ส.ค. โดยดัชนี Nifty 50 ลดลง 1.39% และ BSE Sensex ร่วง -1.69% หลักๆ เนื่องมาจากเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นอินเดียอย่างหนักในรอบ 7 เดือน โดยนักลงทุนต่างชาติ ถอนเงินออกไปราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุหลักมาจากความกังวลด้านอัตราแลกเปลี่ยน ผลประกอบการไตรมาส 2 ที่อ่อนแอ และความน่าสนใจของตลาดอื่นที่สูงกว่า รวมถึงประเด็นการประกาศขึ้นภาษี (tariffs) จากสหรัฐฯ สูงสุดถึง 50% กดดันตลาดหุ้นและค่าเงินรูปี จนดัชนี Sensex และ Nifty สูญเสียกำไรที่สะสมมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดีแม้ภาพรวมยังเปราะบางแต่นักวิเคราะห์มองว่า แรงขายอาจเริ่มชะลอลงเนื่องจากเศรษฐกิจมหภาคของอินเดียยังคงแข็งแกร่ง และการปรับลดภาษี GST จะเป็นแรงกระตุ้นต่อการบริโภคและการลงทุนในระยะข้างหน้า

ตลาดหุ้นเวียดนาม
ดัชนี VN Index ของเวียดนามปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น +11.96% ในเดือนส.ค. และเพิ่มขึ้นเกือบ 33% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ดัชนี VN30 ซึ่งติดตามหุ้นขนาดใหญ่พุ่งขึ้นถึง 15.49% MoM สะท้อนความแข็งแกร่งของตลาด แม้จะเผชิญแรงขายจากต่างชาติสูงกว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการขายทำกำไร แต่แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารและหลักทรัพย์ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ โดยเฉพาะกระแสคาดการณ์การ Upgrade สถานะตลาดจาก Frontier สู่ Emerging Market ซึ่งถูกมองว่าจะเปิดทางให้กระแสเงินทุนใหม่ผ่านกองทุน ETF ไหลเข้าสู่ตลาดเวียดนามมากขึ้นในระยะข้างหน้า

ตลาดหุ้นไทย
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนส.ค. 2025 เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,212.68 – 1,283.55 จุด ก่อนปิด ลดลง -0.46% โดยตลอดทั้งเดือนตลาดเผชิญแรงกดดันจากทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติและแรงขายทำกำไรหลังการจัดเก็บภาษีการค้าออกมาที่ 19% ความกังวลทางการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นายกฯ แพทองธารพ้นตำแหน่ง ตลอดจนแรงกดดันจากหุ้น THAI ที่เริ่มปรับตัวลงหลังเข้าซื้อขายอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ตลาดยังได้รับแรงหนุนบางช่วงจากผลประกอบการไตรมาส 2/2025 ของหลายบริษัทที่ออกมาดีกว่าคาด การกลับเข้าตลาดของหุ้น THAI ในช่วงต้นเดือนที่สร้าง Sentiment เชิงบวกชั่วคราว ความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed หลังถ้อยแถลงประธาน Fed ในงาน Jackson Hole ที่สะท้อนว่า “สมดุลความเสี่ยง” กำลังเปลี่ยนไป รวมถึงการเลื่อนเก็บภาษีสินค้าจีนออกไป 90 วัน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกช่วยประคองบรรยากาศการลงทุนไม่ให้ซบเซาไปมากกว่านี้

เศรษฐกิจยูโรป : : ในเดือนส.ค. 2025 เศรษฐกิจยูโรโซนส่งสัญญาณฟื้นตัวเล็กน้อย โดยภาคการผลิตเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ดัชนี Composite PMI (Flash) ปรับขึ้นแตะ 51.1 แสดงถึงการขยายตัวของกิจกรรมทางธุรกิจ ขณะที่การปล่อยสินเชื่อยังคงแข็งแรง โดยสินเชื่อภาคครัวเรือนเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น +2.4% YoY ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี และสินเชื่อภาคธุรกิจขยายตัว +2.8% ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับใกล้เป้าหมายของ ECB โดย Eurostat รายงานว่าประมาณการเงินเฟ้อของยูโรโซนอยู่ที่ 2.1% ในเดือนส.ค. (สูงขึ้นจาก 2.0% ในเดือนก่อนหน้า) โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ECB จะ คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.0% ในการประชุมเดือนก.ย. เนื่องจากมีความมั่นใจในภาพเศรษฐกิจที่ยังทรงตัวและเงินเฟ้อยังคงใกล้เคียงเป้าหมาย ด้านการเมืองฝรั่งเศสเผชิญแรงกดดันเมื่อ นายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ บายรู ผู้นำรัฐบาลเสียงข้างน้อย ต้องยื่นญัตติขอไว้วางใจหลังไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนมาตรการปรับลดงบประมาณได้ โดยฝ่ายค้านและกลุ่มการเมืองที่ครองเสียงข้างมากประกาศจะลงมติไม่ไว้วางใจในวันที่ 9 ก.ย. ส่งผลให้ตลาดการเงินฝรั่งเศสผันผวนในช่วงปลายเดือนส.ค.

เศรษฐกิจจีน : เศรษฐกิจจีนในเดือนส.ค. 2025 แสดงสัญญาณชะลอตัว โดยภาคการผลิตและการบริโภคในประเทศอ่อนแรงลง ข้อมูลสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิต (อย่างเป็นทางการ) ที่อยู่ที่ 49.4 หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ยอดขายปลีกขยายตัวเพียง 3.7% ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้นเพียง 1.6% YoY ต่ำสุดในรอบหลายปี อย่างไรก็ตาม ดัชนี PMI ภาคการผลิตของภาคเอกชน (Rating Dog/S&P Global) ปรับขึ้นกลับมาเหนือระดับ 50 ที่ 50.5 และภาคบริการมีภาพบวกมากขึ้น โดย S&P Global Services PMI ขยับขึ้นแตะ 53.0 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน ภาครัฐยังคงใช้มาตรการเฉพาะจุดเพื่อประคองเศรษฐกิจและเร่งผลักดันโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ แต่ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา และความร้อนแรงจากการเก็งกำไรในตลาดหุ้น ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาวของจีน

เศรษฐกิจญี่ปุ่น : เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัว +0.3% QoQ ในไตรมาส 2 ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่คำสั่งซื้อเครื่องจักรหลัก (Core Machinery Orders) ซึ่งมักใช้เป็นตัวชี้วัดการลงทุนของภาคธุรกิจ ปรับขึ้น +3% MoM เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัว +0.3% QoQ ในไตรมาส 2 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ขณะที่คำสั่งซื้อเครื่องจักรหลัก (Core Machinery Orders) ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการลงทุนของภาคธุรกิจ ปรับเพิ่มขึ้น +3% MoM สำหรับเดือนส.ค. 2025 ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยถูกประเมินว่า “กำลังฟื้นตัวในระดับปานกลาง” แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่เริ่มบั่นทอนความเชื่อมั่นด้านกำไรของภาคเอกชน ผลสำรวจ PMI ภาคบริการ (S&P Global Services PMI) ชะลอลงเล็กน้อยจาก 53.6 เหลือ 53.1 แต่ยังอยู่เหนือระดับ 50 สะท้อนถึงการขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีอุปสงค์ในประเทศเป็นแรงขับหลัก ขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศอ่อนแรงลง

เศรษฐกิจไต้หวัน : การผลิตภาคอุตสาหกรรมของไต้หวันในเดือนก.ค. หดตัว –1.4% MoM ต่อเนื่องจาก –4.2% ในเดือนก่อนหน้า แม้ YoY ยังขยายตัว +18.1% สูงกว่าคาดของ Bloomberg (+17.0%) แต่ชะลอลงจาก +18.7% จุดอ่อนหลักมาจากกลุ่มคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และออปติคัลที่หดตัวแรง –17.6% MoM หลังเร่งขึ้นในช่วงก่อนหน้า รวมถึงเคมีภัณฑ์และโลหะพื้นฐานที่ลดลง -2 ถึง –3% แต่มีปัจจัยบวกคือ การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ที่พลิกฟื้น +5.3% หลังจากหดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน สะท้อนภาพการกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนหลักหลังการปรับฐานของอุตสาหกรรมดังกล่าว  ขณะที่ ฝั่งการบริโภคยังอ่อนแรงยอดค้าปลีกหดตัว –1.9% MoM รุนแรงที่สุดตั้งแต่ก.พ. ร้านอาหารและเครื่องดื่มลดลง –2.3% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ส่วนการค้าส่งกลับมาขยายตัวเล็กน้อยที่ +0.6%

เศรษฐกิจอินเดีย  : ในเดือนส.ค. เศรษฐกิจอินเดียส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 2 ขยายตัวถึง 7.8% YoY สูงกว่าคาดที่ 6.7% และเร่งขึ้นจาก 7.4% ในไตรมาสก่อนหน้า แรงหนุนสำคัญมาจากภาคการผลิตและบริการที่เติบโตโดดเด่น โดยดัชนี HSBC India Manufacturing PMI พุ่งขึ้นแตะ 59.3 สูงสุดในรอบ 18 ปี สะท้อนอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแรง ขณะที่ Services PMI ขึ้นถึง 62.9 สูงสุดในรอบ 15 ปี ดัน Composite PMI ทำสถิติสูงสุดในรอบ 17 ปี นอกจากนี้ รัฐบาลยังเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างภาษี GST ลดขั้นภาษีเหลือ 5% และ 18% พร้อมเพิ่มอัตรา 40% สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย และยกเลิกบางขั้นภาษี เพื่อกระตุ้นการบริโภคและลดความซับซ้อนของระบบ โดยจะมีผลบังคับใช้ 22 ก.ย. ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังย้ำว่าอินเดียจำเป็นต้องรักษาการเติบโตเศรษฐกิจเฉลี่ยที่ 8% ต่อปี ในทศวรรษหน้า ผ่านการยกระดับการลงทุนในสัดส่วน GDP จาก 31% สู่ 35% เพื่อรับมือแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์และภาษีการค้าสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามตลาดยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยโลกและความเสี่ยงของสงครามการค้าสหรัฐฯ ที่อาจกดดันแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะถัดไป

เศรษฐกิจเวียดนาม : ในเดือนส.ค. 2025 เศรษฐกิจเวียดนามยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งจากแรงฟื้นตัวของภาคบริการและอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลตั้งเป้า GDP ปี 2025 ที่ระดับ 8.3–8.5% เพื่อผลักดันสู่เป้าหมายระยะยาว แม้ธนาคารโลกประเมินไว้เพียง 6.8% ก็ตาม ด้านเสถียรภาพราคา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในก.ค. อยู่ที่ 3.19% YoY และ Core inflation อยู่ที่ 3.3% YoY ขณะที่ธนาคารกลางพยายามรักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบ 4.5–5.0% เพื่อเปิดช่องให้สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้หากจำเป็น นอกจากนี้ เวียดนามยังเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อยกระดับสู่การเป็น “เสือเศรษฐกิจเอเชีย” ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์ อาทิ AI เซมิคอนดักเตอร์ พลังงานหมุนเวียน ตลอดจนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูงเหนือ–ใต้ (North–South Railway) เพื่อปูทางสู่เป้าหมายการพัฒนาในระยะยาวจนถึงปี 2045

แนวโน้มตลาด
เดือนก.ย. ถือเป็นเดือนที่มีความเสี่ยงเชิงฤดูกาลจาก “September Effect” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นช่วงเวลาท้าทายของนักลงทุนในวอลล์สตรีท เนื่องจากในอดีตตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนสูงและมักสร้างผลตอบแทนต่ำที่สุดของปี โดยตั้งแต่ปี 1897 ผลตอบแทนเฉลี่ยในเดือนก.ย. อยู่ที่ราว –1.1% เทียบกับค่าเฉลี่ยบวก +0.7% ในเดือนอื่น ๆ ทำให้นักลงทุนมักเลือกใช้กลยุทธ์ที่ระมัดระวังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่ช่วยประคองตลาดในรอบนี้น่าจะเป็นทิศทางนโยบายการเงินของ Fed โดย CME Fed Watch Tool ล่าสุดสะท้อนความเป็นไปได้เกือบ 99% ที่ Fed จะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. หลังข้อมูลล่าสุดชี้ว่าแรงกดดันเงินเฟ้อผ่อนคลายและตลาดแรงงานชะลอตัว ซึ่งหากตลาดแรงงานอ่อนตัวในลักษณะ “Goldilocks economy” (ไม่ร้อนแรงเกินไป ไม่ชะลอเกินไป) จะถือเป็นผลดี เพราะช่วยเปิดทางให้ Fed ลดดอกเบี้ยโดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน บริษัทอาจได้รับแรงหนุนจากผลิตภาพแรงงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm productivity) ที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนแรงงานต่อหน่วย (Unit labor cost) และแนวโน้มต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงจะช่วยขยาย margin ของภาคธุรกิจในระยะถัดไป ดังนั้นแม้เดือนก.ย.จะยังคงมีความผันผวนสูงจาก “September Effect” แต่แรงหนุนจากวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed รวมถึงต้นทุนแรงงานที่ผ่อนคลายมีโอกาสช่วยบรรเทาความกังวลและสร้างแรงพยุงต่อบรรยากาศการลงทุนได้ในระดับหนึ่ง

LHGEQP
กองทุนหุ้นโลกที่กระจายการลงทุนตามดัชนีอ้างอิง MSCI ACWI ลงทุนใน iShares MSCI ACWI ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ครอบคลุมทั้งประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตระยะยาวจากหุ้นทั่วโลก พร้อมกระจายความเสี่ยงด้านภูมิภาคอย่างสมดุล

LHMEGA
กองทุนหุ้นโลกเน้นหุ้นเติบโตขนาดใหญ่ ลงทุนใน Schroder International Selection Fund Global Innovation (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ที่ได้อานิสงส์จากเมกะเทรนด์ อย่าง AI, Cloud Digital Economy และนวัตกรรมดิจิทัลใหม่ ๆ พร้อมสร้างโอกาสการเติบโตจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของโลกดิจิทัล

LHGIGO
กองทุนตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก ลงทุนใน Man Global Investment Grade Opportunities (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก ในระดับ Investment grade มุ่งเน้นความมั่นคงของพอร์ต ผ่านกลยุทธ์การคัดเลือกผู้ออกตราสารรายตัว เพื่อเลือกลงทุนในเครดิตคุณภาพสูง เหมาะสำหรับการรับมือกับภาวะตลาดที่ผันผวนและลดความไม่แน่นอนจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก

LHSPACE                                                               
กองทุนธีมเศรษฐกิจอวกาศ ลงทุนใน Neuberger Berman Next Generation Space Economy Fund (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV เน้นธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมอวกาศ (Space Economy) เช่น การปล่อยดาวเทียมและยานอวกาศ การปล่อยดาวเทียมและยานอวกาศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม การสังเกตการณ์โลก (Earth Observation) และระบบนำทางและ GPS ซึ่งจะมีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต

LHESPORT                                                               
กองทุนธีมอีสปอร์ตและเกมมิ่ง ลงทุนใน VanEck Vectors Video Gaming and eSports ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งลงทุนในธุรกิจที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตทั่วโลก ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามกระแสความนิยมและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

LHQTUM                                                               
กองทุนธีมควอนตัมเทคโนโลยี ลงทุนใน Defiance Quantum ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานของ Quantum Technology และ AI พร้อมคัดเลือกบริษัทที่สะท้อนธีมควอนตัมอย่างแท้จริง เพื่อคว้าโอกาสจากเมกะเทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

 

Source:LHFUND, Trading Economy, investing.com, BoJ, JPMorgan, Golman Sachs, CNBC, Reuters, Financial Times

Data as of: 5 Sep 2025
 

เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือ
ได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน