LAND AND HOUSES FUND MANAGEMENT CO.,LTD

ข่าวสารและกิจกรรม

สรุปภาวะตลาด



สหรัฐฯ-จีน บรรลุกรอบข้อตกลงเบื้องต้นที่ลอนดอนเพื่อลดความตึงเครียดทางการค้า
  • มีการบรรลุกรอบแผนเบื้องต้น เพื่อคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า ซึ่งอาจส่งผลให้การส่งออก-นำเข้าสินค้าที่มีความอ่อนไหวกลับมาดำเนินได้อีกครั้ง
  • ประเด็นหลักที่เจรจา คือ การจัดส่ง "แร่หายาก (Rare Earths)" และแม่เหล็ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง โดยสหรัฐฯ คาดหวังว่าจะได้รับการแก้ไขภายใต้กรอบข้อตกลงนี้ ความขัดแย้งเรื่องแร่หายากเคยทำให้ข้อตกลงเสี่ยงล่ม เพราะจีนมีบทบาทสำคัญในการจัดหาวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น EV, เลเซอร์, และสมาร์ทโฟน
  • ข้อตกลงยังต้องได้รับการอนุมัติจากผู้นำของทั้งสองประเทศ ก่อนจะนำไปสู่การดำเนินการจริง โดยสหรัฐฯ ระบุว่าจะผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออก โดย ฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า เมื่อจีนอนุมัติใบอนุญาตส่งออก แผนการยกเลิกข้อจำกัดของสหรัฐฯ ก็จะตามมา “อย่างสมดุล”
ทั้งนี้เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้สนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดและฟื้นฟูเสถียรภาพของความสัมพันธ์ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเคยกล่าวหากันว่าละเมิด ‘ข้อตกลงการค้าเจนีวา’ ซึ่งเกิดขึ้นจากการประชุมเมื่อกลางเดือนพ.ค. เป็นจุดที่สหรัฐฯ และจีนตกลงร่วมกันในการระงับการเก็บภาษีตอบโต้ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่เดือนเม.ย.การเจรจารอบล่าสุดจัดขึ้นที่กรุงลอนดอน สานต่อจากการพูดคุยในเจนีวา โดยใช้เวลาหารือรวมเกือบ 20 ชั่วโมงรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค ระบุว่าหากผู้นำทั้งสองประเทศให้ความเห็นชอบ ข้อตกลงจะเข้าสู่ขั้นตอนการดำเนินการทันที ด้านผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เจมิสัน เกรียร์ เสริมว่าแม้ยังไม่มีการกำหนดวันเจรจารอบถัดไปอย่างเป็นทางการ แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงเปิดช่องทางในการสื่อสารและหารืออย่างต่อเนื่อง

การตอบสนอง และมุมมองของตลาด:
ข้อตกลงดังกล่าวที่เปิดเผยออกมาในช่วงเช้าตามเวลาในประเทศไทย หนุนให้ตลาดหุ้นเอเชียที่เพิ่งเปิดรับเช้าวันพุธขยับตัวขึ้น ดัชนี MSCI Asia Pacific ปรับขึ้น +0.2%, ญี่ปุ่น: ดัชนี Topix ทรงตัว ขณะที่ ดัชนี Nikkei เพิ่มขึ้น +0.5%, จีน: ดัชนี CSI 300 เพิ่มขึ้น +0.8%, ฮ่องกง: ดัชนี Hang Seng เพิ่มขึ้น +0.9%, ดัชนี Hang Seng China Enterprises เพิ่มขึ้น +1.0% และ ไต้หวัน: ดัชนี Taiex เพิ่มขึ้น +0.7% เช้านี้
 
แนวโน้มการลงทุนและกลยุทธ์การลงทุน : 
ขณะนี้ตลาดยังอยู่ในช่วง “พักรบภาษี” 90 วันภายใต้กรอบข้อตกลงเลื่อนการจัดเก็บ Reciprocal Tariff ของหลายประเทศ ซึ่งแม้จะช่วยลดแรงกดดันในระยะสั้น แต่ตลาดการเงินยังตอบสนองอย่างระมัดระวัง ดัชนี MSCI ทั่วโลกปรับตัวขึ้น ขณะที่บรรยากาศเชิงบวกจากความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ยังคงเป็นปัจจัยหนุนหลักต่อ sentiment การลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดในช่วงต้นเดือนเม.ย. โดยดัชนี S&P 500 ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 6,038.81 จุด ห่างจากจุดสูงสุดเดิมในเดือนก.พ. เพียง 2% ในอีกด้านหนึ่งตลาดยังเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน โดยเฉพาะกรณีที่ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯอนุญาตให้ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถเดินหน้ามาตรการภาษีต่อได้ ตามรายงานของ CNBC เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (11 มิ.ย.) ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเสถียรภาพทางการค้าในระยะข้างหน้าขณะเดียวกันตลาดจับตา Core CPI คืนนี้ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มแตะ 2.9% YoY สะท้อนแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ชะลอการปรับลดดอกเบี้ย ประเด็นเหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายที่ตลาดต้องจับตาในช่วงถัดไป ทั้งในแง่ของความไม่แน่นอนด้านนโยบายและแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่ยังไม่เข้าสู่กรอบควบคุม โดย Charu Chanana (Saxo Markets) มองว่าตลาดน่าจะยินดีต่อการเปลี่ยนจากความขัดแย้งเป็นความร่วมมือ แต่การไม่มีนัดหมายต่อไปแสดงว่าสถานการณ์ยังไม่ปลอดภัยแม้บรรยากาศในปัจจุบันจะเอื้อต่อสินทรัพย์เสี่ยง แต่เรายังมองว่าการเจรจาในขณะนี้ ยังไม่มีการลงนามอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันยังคงมีความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้าอื่นๆอยู่ ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ เรามองว่า ดัชนี S&P 500 ได้ปรับขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม Momentum ตลาดยังอยู่ในทิศทางบวกจากความคืบหน้าในการเจรจา
1. สำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ อยู่สามารถถือต่อได้ โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีมุมมองระยะกลางถึงระยะยาวจากทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณในเชิงบวก อย่างไรก็ดีในระยะสั้นนักลงทุนสามารถจับจังหวะเพื่อบริหารความเสี่ยงของพอร์ตฟอลิโอ โดยหากดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นแตะระดับราว 6,200 จุด อาจพิจารณา “Take Profit” บางส่วน เนื่องด้วยระดับ P/E ปัจจุบันอยู่ที่ 21.9 เท่า หรือ +1S.D ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สะท้อนความคาดหวังที่ตลาดได้สะท้อนไปพอสมควรแล้ว
2. กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่น หรือไปนอกสหรัฐฯ โดยเฉพาะประเทศที่ใม่ได้ถูกผลกระทบจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ เช่น อินเดีย ซึ่งศักยภาพการเติบโตพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก

 

โดยเราแนะนำกองทุน

  • LHGIGO: กองทุนตราสารหนี้คุณภาพทั่วโลก ที่คัดเลือกแบบ Bottom-up เพื่อสร้างผลตอบแทนเหนือดัชนี
  • LHINDIAE: กองทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เร่งตัวขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว
ทั้งนี้นักลงทุนควรติดตามพัฒนาการเชิงนโยบายอย่างใกล้ชิด และรักษาวินัยในการบริหารความเสี่ยงโดยใช้แนวทางล็อกกำไร (Profit Locking) และป้องกันความเสี่ยง (โดยตั้งจุด Stop Loss 8-10%) อย่างเคร่งครัด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุนReuters, 

Source: Bloomberg, CNBC
LHFund 11 มิ.ย.2025

- ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- เนื่องจากกองทุน ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- ผลการดำเนินงานในอดีต ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต




กรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ