สรุปภาวะตลาด

สรุปภาพรวมการลงทุนในเดือนที่ผ่านมา
ตลาดการเงินโลกในเดือนพ.ค. ฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกหลายประการที่ทยอยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ได้แก่ ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่นครเจนีวา การบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับสหราชอาณาจักร การประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU อัตรา 50% รวมถึงการเดินทางเยือนตะวันออกกลางของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนำไปสู่การลงนามข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ ขณะเดียวกัน ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะ NVIDIA ที่รายงานกำไรดีกว่าคาดการณ์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ซึ่งเมื่อปัจจัยบวกเหล่านี้ประกอบเข้าด้วยกันส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกในเดือนพ.ค. ปรับตัวขึ้นในวงกว้าง โดยดัชนี MSCI ACWI ปรับขึ้น +5.7%, ดัชนี S&P 500 +5.0%, ดัชนี Nasdaq +7.9%, ดัชนี Euro Stoxx 600 ของยุโรป +2.2%, ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น +1.7%, ดัชนี CSI 300 ของจีนแผ่นดินใหญ่ +2.2%, ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง +4.5%, ดัชนี Nifty 50 ของอินเดีย +0.8%, ดัชนี TAIEX ของไต้หวัน+1.6% และดัชนี VN Index ของเวียดนาม +9.9%
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนพฤษภาคม โดยเพิ่มขึ้น +5.0% และ +7.9% ตามลำดับ โดยได้แรงหนุนหลักจากผลประกอบการที่โดดเด่นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดย NVIDIA (+23.68%), Meta (+14.29%) และ Tesla (+20.84%) ที่รายงานผลการดำเนินงานเหนือความคาดหมายอย่างชัดเจน ขณะที่ Microsoft (+7.23%) และ Amazon (+7.46%) ก็ช่วยหนุนกลุ่ม Mega-Cap ให้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วน Apple (-1.37%) เป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ให้ผลตอบแทนติดลบในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 1/2025 ของบริษัทในดัชนี S&P 500 โดยรวมเติบโตเฉลี่ย +11.3% YoY ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 8% สะท้อนความแข็งแกร่งของผลประกอบการในภาคเอกชน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านนโยบายยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะจากประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งยังคงใช้ท่าทีแข็งกร้าวต่อการค้าระหว่างประเทศ แม้สถานการณ์จะดูผ่อนคลายลงบ้างเมื่อเทียบกับการแถลงการณ์ในวัน Liberation Day (2 เม.ย.) ที่ผ่านมา และเริ่มมีความหวังจากความเคลื่อนไหวของรัฐบาลในหลายประเทศ ที่เริ่มเปิดเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในระยะถัดไป
ตลาดหุ้นยุโรป
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +2.2% ในเดือนพ.ค. แม้ผลประกอบการไตรมาส 1/2025 ของบริษัทจดทะเบียนจะหดตัวเฉลี่ย -5.2% YoY แต่ยังออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ราว 6.2% สะท้อนถึงความสามารถของภาคธุรกิจในการควบคุมต้นทุนและประคองผลประกอบการได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากท่าทีของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงต้นเดือนมิ.ย. โดยการส่งสัญญาณดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดทุนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปในช่วงครึ่งหลังของปี
ขณะเดียวกัน ดัชนี DAX ของเยอรมนีปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังรัฐบาลเยอรมนีประกาศอนุมัติแพ็คเกจลดภาษีมูลค่า 46 พันล้านยูโร ครอบคลุมช่วงปี 2025–2029 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งยิ่งเสริมแรงบวกให้กับบรรยากาศการลงทุนในภูมิภาคยุโรปโดยรวม
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ดัชนี Nikkei 225 ปิดบวก +1.7% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และผู้ผลิตเครื่องจักรอุตสาหกรรม หลังความคาดหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีจะปรับขึ้นแต่นักลงทุนกลับลดสถานะลงทุนอย่างชัดเจน ตามรายงานของ LSEG Lipper เงินทุนไหลออกจากกองทุนหุ้นญี่ปุ่นแตะระดับ 7.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพ.ค. ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 ปี โดยแรงขายส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนในประเทศและบริษัทประกันชีวิตญี่ปุ่น ที่ทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น โดยปัจจัยที่กดดันการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น ได้แก่ ค่าเงินเยนแข็งค่ากว่า +10% YTD ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทผู้ส่งออก และฉุดแนวโน้มกำไรของภาคเอกชน และการปรับประมาณการกำไรลง โดยบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งเริ่มทยอยปรับลดประมาณการกำไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 จากปัจจัยค่าเงินและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก
ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีน
แม้ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีนจะฟื้นตัวในเดือนพ.ค. แต่ยังเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งยังไม่มีความคืบหน้าอย่างชัดเจน แม้สหรัฐฯ จะประกาศลดอัตราภาษีตอบโต้จาก 145% เหลือ 30% ซึ่งช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่อภาคการส่งออกของจีนและฮ่องกงในระยะสั้น แต่บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังคงเปราะบาง อย่างไรก็ตาม ในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมาตลาดได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกบางประการ ได้แก่ การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เช่น Tencent, Alibaba และ Xiaomi ที่ปรับตัวขึ้นตามแนวโน้มการเติบโตของ AI และนวัตกรรมเทคโนโลยี และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ที่ประกาศเพิ่มเติมในเดือนพ.ค. โดยเน้นการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
ตลาดหุ้นไต้หวัน
ในเดือนพ.ค. ตลาดหุ้นไต้หวันฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังจากเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในเดือนที่ผ่านมา และความผันผวนในภาคเทคโนโลยีในช่วงก่อนหน้า แรงหนุนสำคัญมาจากการกลับเข้ามาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น TSMC และ Nanya Technology รวมถึงกลุ่มการเงิน อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันตลาด โดยเฉพาะกรณีการประกาศเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในอัตรา 32% ต่อสินค้านำเข้าจากไต้หวัน (ยกเว้นเซมิคอนดักเตอร์) เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา แม้มาตรการดังกล่าวจะถูกระงับชั่วคราว แต่ความไม่แน่นอนของผลการเจรจายังคงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ตลาดหุ้นเวียดนาม
ดัชนี Vietnam Index ปรับตัวขึ้นโดดเด่น +9.9% ในเดือนพ.ค. และ +6.4% YTD นับเป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในกลุ่มตลาดหุ้นโลกในช่วงต้นปี 2025 โดยได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยเชิงบวก ทั้งกระแสเงินทุนไหลเข้า (Fund Flow) จากนักลงทุนสถาบันในประเทศ และสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีแรงขายสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติ แต่กระแสเงินลงทุนเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายเดือนพ.ค. เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่ใน VN30 ที่มีผลประกอบการไตรมาส 1/2025 ออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้ EPS โดยรวมของตลาดปรับตัวขึ้น และเป็นแรงจูงใจให้กระแสเงินทุนไหลเข้าสะสมต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นอินเดีย
Nifty 50 ปรับขึ้น +3.8% ในเดือนพ.ค. โดยได้แรงหนุนจากปัจจัยเชิงบวกหลายด้าน ทั้งการบริโภคภายในประเทศที่ยังแข็งแรง การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันจากการถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษี แต่ผลกระทบมีจำกัดเนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นเพียง 2.3% ของ GDP บรรยากาศการลงทุนได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากความคืบหน้าในความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและปากีสถาน หลังการประกาศหยุดยิงในช่วงกลางเดือนพ.ค. ที่ช่วยลดความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์
ในด้านปัจจัยพื้นฐาน ผลประกอบการไตรมาส 1/2025 ของบริษัทจดทะเบียนอินเดียออกมาดีกว่าคาด โดยกำไรสุทธิรวมเติบโต ~7% YoY โดยมีบริษัทมากถึง 58% ที่รายงานผลประกอบการดีกว่าคาดการณ์ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนสูงสุดในรอบ 16 ไตรมาส ส่งผลให้ EPS โดยรวมออกมาดีกว่าคาดเฉลี่ยราว 6–7% และตลาดคาดว่า EPS จะเติบโตประมาณ 11% ในปี 202 นอกจากนี้ ด้านนโยบายการเงิน ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ยังคงจุดยืนแบบผ่อนคลาย โดยตลาดคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 bps ในการประชุมวันที่ 6 มิ.ย. และอีกรอบในเดือน ส.ค. ก่อนจะคงระดับดอกเบี้ยที่ 5.5% ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะถัดไป
ตลาดหุ้นไทย
ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลง -2.3% ในเดือนพ.ค. สะท้อนแรงกดดันจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศที่ยังซบเซา และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กดดันบรรยากาศการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกที่ขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน อย่างไรก็ตาม การบริโภคในประเทศยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง และความล่าช้าในการพิจารณาร่างงบประมาณปี 2568 วาระ 2 ยังคงเป็นปัจจัยลบสำคัญที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยเฉพาะในกลุ่มต่างชาติที่มีน้ำหนักต่อทิศทางตลาด
เมื่อพิจารณาผลตอบแทนรวมตั้งแต่ต้นปี (YTD) ดัชนี SET Index ลดลงแล้วถึง -17.9% YoY ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ underperform มากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย แม้จะมีแรงซื้อประปรายจากกองทุนในประเทศ
สินทรัพย์อื่นๆ
ทองคำ:ทองคำในเดือนพ.ค.ให้ผลตอบแทน +3.5% YoY โดยยังคงโดดเด่นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นับตั้งแต่ต้นปี 2025 ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น YTD ถึง +27.8% YoY นับเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดของปี โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการกระจายความเสี่ยงของนักลงทุน ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก รวมถึงการคาดการณ์แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลัก เช่น Fed และ ECB ซึ่งช่วยหนุนความน่าสนใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนแบบดอกเบี้ย (non-yielding asset) นอกจากนี้ การเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกลางหลายประเทศยังเป็นอีกแรงหนุนสำคัญที่ผลักดันราคาให้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
ตราสารหนี้: ตราสารหนี้กลุ่ม High Yield Bonds (HY Bonds) ให้ผลตอบแทนในระดับจำกัดที่ +1.4% YoY สะท้อนภาวะตลาดที่ยังเผชิญกับความผันผวนด้านอัตราดอกเบี้ยและความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะความเสี่ยงจากสงครามการค้าภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีที่เข้มงวดอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ ตราสารหนี้ที่มีเครดิตต่ำอย่าง HY Bonds มักมีความอ่อนไหวสูงกว่าต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่มากขึ้น จึงเผชิญแรงขายออกอย่างหนักในช่วงไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการค้าด้วยการชะลอและลดอัตราภาษีบางรายการ นักลงทุนเริ่มคลายความกังวล และความต้องการลงทุนในตราสารหนี้กลุ่ม High Yield ก็เริ่มฟื้นตัวกลับมาในช่วงเดือนพ.ค. สะท้อนถึงการปรับความเชื่อมั่นของตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและความเสี่ยงเชิงนโยบายที่เริ่มคลี่คลายลง
ขณะที่ ทางด้าน Investment Grade Bond (IG Bond) แม้จะได้รับแรงกดดันจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยและความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลาง แต่ก็ยังคงทำหน้าที่เป็น “สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง” ได้ดีในสภาวะที่ตลาดทุนผันผวน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ High-Yield Bonds ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยมากกว่า
เศรษฐกิจสหรัฐฯ : ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดยังสะท้อนภาพรวมที่แข็งแกร่ง โดยแบบจำลอง GDP Now ของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาแอตแลนตา คาดว่า GDP ในไตรมาส 2/2025 อาจเติบโตสูงถึง 4.6% ขณะที่รายได้ส่วนบุคคล (Personal Income) เติบโตมากกว่าคาดถึง 3 เท่า และการบริโภคภาคเอกชนเฉลี่ยในช่วง 2 เดือนล่าสุดขยายตัว 0.4% ส่งผลให้ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยลดลง และสนับสนุนแนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 โดยอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) ปรับตัวขึ้นจาก 13.8% ในปี 2022 เป็น 15.5% ล่าสุด ตามรายงานของ Citi ด้านเงินเฟ้อ ตัวเลข PCE ทั่วไปในเดือนเม.ย. อยู่ที่ 2.1% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี ขณะที่ Core PCE ยังคงอยู่ในระดับที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยอมรับได้ ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง โดยตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน (JOLTS) เริ่มฟื้นตัว
อย่างไรก็ดี ข้อมูลบางส่วนเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานจาก ADP ในเดือนพ.ค.ที่เพิ่มขึ้นเพียง 37,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 110,000 ตำแหน่ง ขณะเดียวกัน ดัชนี ISM Services ซึ่งสะท้อนกิจกรรมของภาคบริการที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2024 โดยลดลงมาอยู่ที่ 49.9 จุด ต่ำกว่าระดับ 50 จุด ที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวกับการหดตัว และต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 52.1 จุด (เทียบกับ 51.6 จุดในเดือนเม.ย.)
เศรษฐกิจยูโรป : แสดงสัญญาณฟื้นตัวอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านการค้าและความผันผวนของตลาดโลก ข้อมูลจาก Eurostat ระบุว่า GDP ของยูโรโซนในไตรมาสแรกของปีขยายตัว 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ขณะที่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของยูโรโซนในเดือนพ.ค. ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 49.4 จาก 49.0 ในเดือนเม.ย. สะท้อนถึงการหดตัวที่ชะลอลง ขณะที่ PMI ภาคบริการปรับขึ้นเป็น 49.7 จาก 48.9 แม้ยังต่ำกว่าเส้นแบ่ง 50 จุด แต่แสดงถึงแนวโน้มที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในเดือนมิ.ย เพื่อลดสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยรวมแล้ว เศรษฐกิจยุโรปในเดือนพ.ค. 2025 แสดงสัญญาณฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
เศรษฐกิจจีน : เศรษฐกิจที่ยังหดตัว GDP ไตรมาส 1/2025 ขยายตัว +5.6% YoY สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐและการบริโภคในเมืองระดับรองที่เร่งตัว การส่งออกไปสหรัฐฯ -21% YoY เป็นผลจากแรงกดดันของภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) แม้ล่าสุดสหรัฐฯ จะปรับลดภาษีเหลือ 30% (จากเดิม 145%) แต่คำสั่งซื้อจากสหรัฐฯ ยังคงชะลอ ในทางกลับกัน การส่งออกไปอาเซียนเร่งตัว +28% YoY โดยเฉพาะไทย ตลาดเริ่มจับตาแนวโน้ม “re-routing” สินค้าจีนผ่านประเทศที่สาม เช่น เวียดนาม/ไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจอื่นอย่าง PMI ภาคการผลิตยังต่ำกว่า 50 จุด ต่อเนื่องสะท้อนว่าภาคการผลิตยังอยู่ในภาวะหดตัว โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก
เศรษฐกิจญี่ปุ่น : เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ยิ่งซ้ำเติมภาคการผลิตและการส่งออกที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ในด้านนโยบายการเงิน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) แม้ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ แต่ตลาดเริ่มส่งสัญญาณคาดการณ์ว่า BoJ อาจเริ่มเข้าสู่วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวเหนือระดับเป้าหมาย 2% อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นในประเทศอาจส่งผลกระทบต่อ ต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจและความสามารถในการเติบโตของตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะต่อไป โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจยังเปราะบางจากปัจจัยภายนอก
เศรษฐกิจไต้หวัน : GDP ของไต้หวันในไตรมาส1/2025 ขยายตัว 5.48% YoY ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตรายไตรมาสที่มากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2024 อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจไต้หวันจะแสดงสัญญาณการเติบโตที่มั่นคง แต่ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาษีนำเข้าที่อาจถูกกำหนด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไต้หวันในช่วงครึ่งหลังของปี
เศรษฐกิจอินเดีย : ข้อมูลอินเดียก้าวขึ้นเป็นเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลกตามรายงาน WEO ของ IMF โดยเศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้เผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ โดย GDP ไตรมาส 1/2025 ขยายตัว +7.2% YoY สะท้อนแรงส่งจากการบริโภคภายในประเทศที่ยังแข็งแรงและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ดำเนินต่อเนื่อง แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ปะทะชายแดนกับปากีสถานเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ซึ่งถือเป็นการสู้รบที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี แต่นักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระยะกลาง
Morgan Stanley คาดว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องจนแตะระดับ 5.5% ภายในไตรมาส 3/2025 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันการใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศต่อไป ขณะที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้าสู่ตลาดทุนและโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี พลังงานสะอาด และโลจิสติกส์ ทำให้อินเดียยังคงเป็นจุดหมายการลงทุนที่น่าสนใจในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่ และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
เศรษฐกิจเวียดนาม : ในปี 2025 เศรษฐกิจเวียดนามยังคงแสดงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง แม้จะเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนด้านการค้ากับสหรัฐฯ โดยองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IMF, World Bank และ ADB ประเมินว่า GDP เวียดนามในปีนี้จะเติบโตอยู่ในช่วง 5.2–6.6% โดยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงสะท้อนจาก GDP ไตรมาส 1/2025 ที่ขยายตัว +6.9% YoY การส่งออกเดือนพ.ค.ที่เพิ่มขึ้น +14% YoY ส่งผลให้เวียดนามเกินดุลการค้า 4.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ยอดค้าปลีกสะสมช่วง ม.ค.–พ.ค. ขยายตัว +9.7% YoY สะท้อนความแข็งแรงของกำลังซื้อภายในประเทศ ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโต +8.8% YoY บ่งชี้การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจจริง ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น +51.1% YoY ในช่วง 5 เดือนแรก คิดเป็นมูลค่ารวม 18.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แสดงถึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ ด้วยแรงส่งจากการบริโภคในประเทศ การผลิตที่เร่งตัว และเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง เวียดนามมีแนวโน้มที่จะรักษาโมเมนตัมการเติบโตไว้ได้ในระดับสูง หากสามารถบริหารความเสี่ยงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวโน้มตลาด
เราเห็นว่าตลาดการเงินโลกยังคงมีแนวโน้มเผชิญกับความผันผวนในระยะข้างหน้า โดยมีประธานาธิบดี “ทรัมป์” เป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางนโยบายการค้าและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะเดียวกัน ตลาดยังอยู่ในโหมด “Risk-On” จากการคาดการณ์วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก และแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS recovery)
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ความคืบหน้าในมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งแม้ตลาดจะสะท้อนความคาดหวังเชิงบวกว่าน่าจะได้ข้อสรุปร่วมกับหลายประเทศในระยะอันใกล้ แต่หากการเจรจาล่าช้าหรือเกิดความไม่แน่นอน ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและผู้บริโภคอาจถูกกระทบ และกลายเป็นแรงกดดันต่อแนวโน้มผลประกอบการและมูลค่าตลาดหุ้นในระยะถัดไป
ในบริบทเช่นนี้ แม้สภาพแวดล้อมการลงทุนจะมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ “ความไม่แน่นอน” กลับตอกย้ำบทบาทของ การกระจายการลงทุน (diversification) ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ความเชื่อมโยง (correlation) ระหว่างสินทรัพย์และภูมิภาคต่าง ๆ มีแนวโน้มลดลง การวางกลยุทธ์พอร์ตที่กระจายลงทุนในหลายภูมิภาคและหลากหลายประเภทสินทรัพย์ จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมเพื่อบริหารความเสี่ยงและรักษาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในช่วงที่ความผันผวนยังอยู่ในระดับสูง
ในภาวะที่ตลาดการเงินเผชิญความผันผวนสูงและปัจจัยภายนอกที่ยากต่อการคาดการณ์ กลยุทธ์ “Barbell Strategy” ถือเป็นแนวทางการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นการกระจายพอร์ตอย่างสมดุลระหว่างสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเติบโตสูง (Growth) และสินทรัพย์ที่มีลักษณะป้องกันความเสี่ยง (Defensive) เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้พอร์ตสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนในระยะสั้น ขณะเดียวกัน ยังเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว โดยในฝั่ง Growth ควรจัดสรรพอร์ตประมาณ 50% เข้าสู่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้แรงหนุนจากเมกะเทรนด์ เช่น AI, ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน, ความมั่นคงทางไซเบอร์ (Cybersecurity) และเศรษฐกิจอวกาศ (Space Economy) โดยแนะนำให้ทยอยสะสมในช่วงตลาดอ่อนตัว ส่วนอีก 50% ควรเน้นหุ้นกลุ่ม Defensive และ Value เช่น Utilities, Consumer Staples และหุ้นที่สามารถสร้างกระแสเงินสดสม่ำเสมอ ซึ่งมีความผันผวนน้อยกว่าและช่วยลดแรงกระแทกในช่วงตลาดผันผวน
นอกจากนี้ การจัดสรรบางส่วนไปยัง ‘ตราสารหนี้คุณภาพดี’ เพื่อสร้างความมั่นคงก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่เหมาะสมภายใต้บริบทที่ดอกเบี้ยโลกเริ่มมีแนวโน้มลดลง ขณะเดียวกัน นักลงทุนควรกระจายพอร์ตในเชิงภูมิภาคและประเภทสินทรัพย์ เพื่อบริหารความเสี่ยงในช่วงที่ความเชื่อมโยงระหว่างตลาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การติดตามข้อมูลเศรษฐกิจ ทิศทางนโยบายการเงิน และสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างใกล้ชิด พร้อมรักษาความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตอย่างทันท่วงทีจะเป็นหัวใจสำคัญในการลงทุนท่ามกลางภาวะที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเช่นนี้
LHDIVB
ลงทุนใน iShares U.S. Dividend and Buyback ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV เน้นหุ้นของบริษัทในสหรัฐอเมริกาที่ให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนโดยการจ่ายเงินปันผล (Dividend) และ/หรือการซื้อหุ้นคืน (Buyback) เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
LHGIGO
ลงทุนใน Man Global Investment Grade Opportunities (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก ในระดับ Investment grade
LHSPACE
ลงทุนใน Neuberger Berman Next Generation Space Economy Fund (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV เน้นหุ้น Space Economy มีโอกาสเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
LHTWGHD
ลงทุนใน CTBC TIP Customized Taiwan Growth and High Dividend ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในหุ้นไต้หวัน มีกลยุทธ์ที่ผสานการลงทุนในหุ้นเติบโตกับหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง
LHESPORT
ลงทุนใน VanEck Vectors Video Gaming and eSports ETF (“กองทุนหลัก”) เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ลงทุนในหุ้นกลุ่มอีสปอร์ตและเกมมิ่ง มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกมทั่วโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่เติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
Source:: LHFUND, Bloomberg, CNBC, Reuters, Morgan Stanley, European Commission, Trading Economy, investing.com, taiwannews, Krungsri
Data as of: 6 June 2025
เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือ
ได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือ ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน