LAND AND HOUSES FUND MANAGEMENT CO.,LTD

ข่าวสารและกิจกรรม

สรุปภาวะตลาด





S&P 500 ปิด All Time High ที่ 4839 จุด ตามผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด
 
  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นได้เผชิญกับความผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์ แต่สุดท้ายแล้วตลาด S&P500 ปิด All Time High ได้ที่ 4839 จุด หลังจากที่ตัวเลขการค้าปลีก และตัวเลขการก่อสร้างบ้านในเดือนธ.ค.ของสหรัฐฯ นั้นออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่ในขณะเดียวกันที่ สมาชิกธ.กลางสหรัฐฯ อย่างนาย Christopher Waller นั้นได้มีการให้สัมภาษณ์ โดยเริ่มมีสัญญาณว่าธ.กลางสหรัฐฯ นั้นเริ่มมีความระมัดระวังต่อนโยบายทางการเงินมากขึ้น และอาจจะไม่ได้รีบปรับอัตราดอกเบี้ยลงเร็วอย่างที่หลายฝ่ายคาดก่อนหน้านี้ โดยตลาดสหรัฐฯนั้น จะยังคงเผชิญกับความผันผวนต่อไป เนื่องจากมุมมองของนักลงทุนในตลาดนั้น ยังคงมีความแตกต่างเป็นอย่างมากว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในปี 2024 นั้น จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession), หรือจะเป็นเพียงการชะลอตัวเล็กน้อย (Soft-landing) หรืออาจจะมีการขยายตัวต่อ และเกิดความเสี่ยงของการกลับมาของภาวะเงินเฟ้อในระลอกที่สอง ซึ่งความน่าจะเป็นในทั้ง 3 กรณีนั้น จะส่งผลต่อทิศทางของอัตราดอกเบี้ย และการประเมินมูลค่าของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทั่วโลกเป็นอย่างมากในปีนี้
  • นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตามองฤดูผลประกอบการในไตรมาส 4 อย่างใกล้ชิด โดย ณ วันที่ 18 ม.ค. มี 45 บริษัทใน S&P500 ได้ประกาศผลประกอบการ โดยมี 37 บริษัทที่มีกำไรที่ดีกว่าที่ตลาดคาด, 2 บริษัทที่เท่ากับคาด และ 6 บริษัทที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ โดยบริษัทที่มีกำไรที่โดดเด่นนั้น อาทิเช่น JPMorgan, Wells Fargo, Goldman Sachs, Nike, Carmax และ Delta Airlines เป็นต้น โดยในสัปดาห์หน้า ตลาดจะจับตามองผลประกอบการของกลุ่ม Technology ขนาดใหญ่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเทรนการเติบโตของอุตสาหกรรมในกลุ่ม Cloud และ AI,
  • ดัชนี Nasdaq และหุ้นกลุ่ม Technology นั้นได้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในสัปดาห์นี้ โดยมีปัจจัยที่สำคัญมาจากผลประกอบการ และมุมมองของผู้บริหาร TSMC ที่ได้มีการปรับเป้าหมายการเติบโตของยอดขายในปี 2024 ขึ้น และได้ปรับมุมมองต่อการเติบโตของกลุ่ม AI chips เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทั้งในภาพของธุรกิจในกลุ่ม AI, Cloud, Cybersecurity และ Supply-chain ทั้งหมด และยังเป็นการส่งสัญญาณว่าวัฎจักรของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก (โดยเฉพาะสินค้า Electronics) นั้น เริ่มมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวในปี 2024 หลังจากที่เผชิญกับวัฎจักรขาลงมาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
  • อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีน และฮ่องกงนั้น ยังคงเผชิญกับแรงเทขายอย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 โดยตัวเลขเศรษฐกิจจีนส่วนใหญ่ (GDP Q4, การค้าปลีก, อัตราการว่างงาน และการลงทุนในอสังหาฯ เดือนธ.ค.) นั้นออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับที่ต่ำมาก ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจีนนั้น จะออกจากการล็อคดาวน์มาแล้วกว่า 1 ปีก็ตาม นอกจากนี้ การที่ธ.กลางจีน (PBoC) นั้นไม่ทำการลดอัตราดอกเบี้ย และรัฐบาลจีนที่ยังคงไม่มีมีมาตรการในกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนนั้น ได้สร้างความผิดหวังให้กับตลาด โดยสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ยังคงบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนนั้น มีโอกาสที่จะยังคงอยู่ในภาวะเงินฝืด และจะเติบโตต่ำกว่าในอดีตในระยะกลางถึงยาว
  
24 ม.ค สหรัฐ PMI ภาคการผลิต (มกราคม) คาดว่าอยู่ที่ 48.0 โดยเดือนก่อนอยู่ที่ 47.9

25 ม.ค ยุโรป ประชุม ECB คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.5%

25 ม.ค สหรัฐ GDP (4Q) (QoQ) คาดว่าอยู่ที่ 1.9% โดยไตรมาสก่อนอยู่ที่ 4.9%

26 ม.ค สหรัฐ PCE Deflator (ธันวาคม) (YoY) คาดว่าอยู่ที่ 2.6% โดยเดือนก่อนอยู่ที่ 2.6%



 
  • LHGEQ มีกลยุทธ์การลงทุนใน Growth Stock และบริหารแบบเชิงรุก เน้นคัดหุ้นเติบโตที่เป็นอนาคตใหม่ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาหุ้น ประกอบกับสัญญาณทางเทคนิคของ S&P 500 Index ที่ปิดเหนือ All time high เราจึงมองว่าหุ้นในกลุ่ม Big/Mid Cap , Growth มีโอกาสไปต่อได้อีก
Source: LHFUND, LHSEC, CNBC, UOB Kay Hian, Bloomberg, ThaiPBS
ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

กรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ